เครื่องประดับอัตลักษณ์ไทยในสมัยสุโขทัยตอนต้น (พ.ศ. 1781–1893)
ในยุคสุโขทัยตอนต้น เครื่องประดับสะท้อนถึงอิทธิพลของศิลปะขอมและศิลปะอินเดีย เครื่องประดับที่นิยม ได้แก่ สร้อยคอทำจาก ทองคำ และหินมีค่า รูปแบบของเครื่องประดับเน้นความเรียบง่ายแต่สง่างาม ช่างฝีมือเน้นการขึ้นรูปทองโดยใช้เทคนิคการหล่อแบบโบราณกำไลข้อมือทำจากสำริดหรือทองแดงถูกใช้ทั้งในชนชั้นสูงและสามัญชน สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เช่น ดอกบัวหรือธรรมจักร ถูกนำมาใช้เป็นลวดลายประดับ สตรีในราชสำนักมักสวมศิราภรณ์ขนาดเล็กประดับหัว การประดับหูด้วยตุ้มหูทองและการสวมปลอกแขนก็แพร่หลาย ความเรียบง่ายแต่แฝงความหมายลึกซึ้งถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของยุคนี้ ศิลปะการทำเครื่องประดับจึงไม่เพียงสะท้อนรสนิยมแต่ยังบ่งบอกสถานะทางสังคมอย่างชัดเจน ช่างฝีมือไทยเริ่มมีการประยุกต์ศิลปะพื้นเมืองกับศิลปะต่างชาติอย่างกลมกลืน ก่อให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะที่มีอิทธิพลต่อยุคต่อมา
เครื่องประดับอัตลักษณ์ไทยในสมัยสุโขทัยตอนปลาย (พ.ศ. 1893–1927)
ในช่วงสุโขทัยตอนปลาย เครื่องประดับเริ่มมีความประณีตมากขึ้น มีการใช้เทคนิคลงยาสี บนพื้นโลหะ เครื่องประดับทองถูกผลิตอย่างแพร่หลายโดยช่างฝีมือที่มีความชำนาญมากขึ้น รูปแบบลวดลายมีความอ่อนช้อยและซับซ้อนกว่าในตอนต้น ลวดลายพฤกษา เช่น ดอกไม้ ใบไม้ ถูกนำมาใช้สร้างความงดงาม เครื่องประดับสำคัญที่พบ เช่น กำไลทองคำ จี้ทองคำ แหวนลงยาสี เครื่องประดับสำหรับพิธีกรรมมีการตกแต่งด้วยอัญมณีหลากสี เครื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด หรือพระเครื่องห้อยคอ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่ชายไทย เครื่องประดับศีรษะมีขนาดใหญ่ขึ้น สตรีมักสวมมงกุฎหรือเกี้ยวที่ตกแต่งด้วยทองและอัญมณี สัญลักษณ์ศาสนาพุทธยังคงเป็นองค์ประกอบหลักของการออกแบบ เช่น ลายดอกบัวและลายธรรมจักร การแลกเปลี่ยนทางการค้าในภูมิภาคเอเชียทำให้วัสดุใหม่ เช่น ไข่มุกและทับทิมอินเดีย ถูกนำมาใช้ การประดับ
เครื่องประดับอัตลักษณ์ไทยในสมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. 1350–1600)
ในสมัยอยุธยาตอนต้น ศิลปะและเครื่องประดับสะท้อนความยิ่งใหญ่ของราชธานีใหม่ มีการผสมผสานศิลปะเขมรและศิลปะสุโขทัยอย่างแนบเนียน เครื่องประดับทองคำได้รับความนิยมสูง และมีการพัฒนาเทคนิคการลงยาและฝังอัญมณี เครื่องประดับชิ้นสำคัญ ได้แก่ กำไลทองคำลงยา สร้อยคอทองคำฝังทับทิมและไพลิน ตลอดจนต่างหูขนาดใหญ่ เครื่องประดับสำหรับพิธีการ เช่น เครื่องประดับสำหรับเครื่องราชูปโภค ถูกออกแบบให้ประณีตพิถีพิถัน วัสดุที่ใช้มีทั้งทองคำ เงิน ทองแดง และหินมีค่า การออกแบบนิยมลวดลายที่แสดงถึงอำนาจ พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ทรงเครื่องประดับที่หรูหราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เช่น มงกุฎทองคำ และสร้อยสังวาลย์ สตรีในราชสำนักนิยมสวมปลอกแขน แหวน และตุ้มหูขนาดใหญ่ สะท้อนฐานะและบทบาทในสังคม การค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนและเปอร์เซีย ส่งผลให้อัญมณีจากต่างแดน เช่น ไข่มุกและหยก ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งเครื่องประดับอย่างแพร่หลาย
เครื่องประดับอัตลักษณ์ไทยในสมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. 1600–1767)
ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ศิลปะเครื่องประดับไทยพัฒนาสู่ความวิจิตรสูงสุดก่อนการเสียกรุงครั้งที่สอง ความนิยมเครื่องประดับทองคำฝังเพชรและอัญมณีหลากสีแพร่หลายอย่างมาก ช่างฝีมือมีการประยุกต์เทคนิคฝังเพชรและเทคนิคการทำทองถัก จากอินเดียเข้ากับศิลปะไทยดั้งเดิม เครื่องประดับที่เด่น ได้แก่ มงกุฎทองคำฝังเพชร ชุดสร้อยคอทองคำหลากเส้นและกำไลข้อมือประดับทับทิมและไพลิน ชุดเครื่องราชูปโภคสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์มีความอลังการสูง ประกอบด้วยมงกุฎ สังวาลย์ พาหุรัด ตุ้มหูของสตรีมีลักษณะยาวและประดับหินมีค่าขนาดใหญ่ การออกแบบนิยมลายพฤกษา และลายกระหนกเปลวที่ละเอียดอ่อน เครื่องประดับศีรษะ ศิราภรณ์มีขนาดใหญ่และประดับด้วยอัญมณีเพื่อแสดงฐานะ การค้ากับชาติตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส โปรตุเกส ส่งผลให้รูปแบบการออกแบบบางอย่าง เช่น การใช้ไข่มุกน้ำเค็มและเพชรยุโรป เริ่มเข้ามาในราชสำนักอยุธยา
เครื่องประดับอัตลักษณ์ไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2325–2475)
ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ศิลปะเครื่องประดับไทยได้รับการฟื้นฟูอย่างเข้มข้นหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา เครื่องประดับทองคำมีบทบาทสำคัญทั้งในราชสำนักและสังคมไทย การทำเครื่องประดับได้รับอิทธิพลจากอยุธยาอย่างชัดเจน แต่เพิ่มความประณีตซับซ้อนยิ่งขึ้น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เช่น พระมหามงกุฎ เครื่องสังวาลย์ และพระเกี้ยว ถูกประดิษฐ์ด้วยทองคำบริสุทธิ์และประดับเพชรพลอยอย่างวิจิตร สตรีในราชสำนักนิยมสวมสร้อยทองเส้นใหญ่ แหวนทองประดับทับทิมหรือไพลิน และตุ้มหูลงยา เครื่องประดับศีรษะ เช่น รัดเกล้า และศิราภรณ์ทองคำ ลงยาสีสันสดใสมีความโดดเด่น ความนิยมเครื่องประดับฝังเพชร เติบโตอย่างต่อเนื่อง การค้ากับชาติตะวันตก เช่น อังกฤษและโปรตุเกส นำเทคนิคใหม่ๆ เช่น การเจียระไนเพชรแบบยุโรปและการทำสร้อยคอแบบลูกปัดทองคำเข้ามาเสริม เครื่องประดับยังมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การถวายเครื่องทองในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน นอกจากนี้ยังเริ่มมีการกำหนดเครื่องแบบเครื่องประดับสำหรับขุนนางและข้าราชการตามชั้นยศอย่างเป็นทางการ
เครื่องประดับอัตลักษณ์ไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย (พ.ศ. 2475–ปัจจุบัน)
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย เครื่องประดับไทยมีความหลากหลายมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ส่งผลให้รูปแบบการใช้เครื่องประดับลดความฟุ่มเฟือยลงในชีวิตประจำวัน แต่เครื่องประดับที่เกี่ยวกับราชพิธียังคงความหรูหราและสง่างาม เครื่องประดับทองคำลงยาสี เช่น สร้อยคอ เข็มกลัด และแหวน ยังคงได้รับความนิยม เครื่องเพชรพลอยรูปแบบตะวันตก เช่น สร้อยคอเพชรแบบฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทสำคัญในหมู่ชนชั้นสูง ช่างฝีมือไทยพัฒนาเทคนิคการฝังพลอย เทคนิคจิวเวลรี่แบบยุโรป และการใช้แพลทินัมมาผลิตเครื่องประดับ นอกจากนี้ยังเกิดแนวโน้มการออกแบบเครื่องประดับแนว “ไทยประยุกต์” เช่น การนำลวดลายไทยโบราณอย่างลายกนก ลายประจำยาม มาประยุกต์ในรูปแบบทันสมัย เครื่องประดับชุดไทยจักรีและชุดไทยพระราชนิยมต่างๆ ที่ใช้ในงานพระราชพิธี ก็ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ความเป็นไทย ขณะเดียวกันในยุคหลัง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยได้เติบโตอย่างมาก จนเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
อ้างอิง
กรมศิลปากร. (2560). มรดกศิลปะสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
ปิยะ ไกรฤกษ์. (2555). ศิลปะในคาบสมุทรสยามและการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของเอเชีย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สถาบันพระมหากษัตริย์. (2558). วิวัฒนาการศิลปะเครื่องประดับไทย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง.
พงศ์ภัทร วชิรธนโรจน์. (2562). ศิลปะเครื่องประดับและวัฒนธรรมสะท้อนในสมัยสุโขทัย. วารสารไทยศึกษา, 15(2), 85-106.
ดูปงต์, ปิแอร์. (2554). ศิลปะของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด.
วินัย พงษ์ศรีเพียร. (2561). อยุธยา: ยุครุ่งเรืองแห่งเครื่องประดับไทย. วารสารมรดกวัฒนธรรม, 10(1), 45-67.
ธงชัย วินิจจะกูล. (2557). แผนที่ความเป็นไทย: ประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์แห่งสยาม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยฮาวาย.
สมสุดา คล้ายนนท์. (2563). ความรุ่งเรืองของเครื่องประดับอยุธยา: การแลกเปลี่ยนและความคิดสร้างสรรค์. Thai Art Review, 8(2), 112-135.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2559). ศิลปวัฒนธรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. กรุงเทพฯ: กระทรวงวัฒนธรรม.
ประทีป โกมุทบุตร. (2564). มรดกทอง: เครื่องประดับในราชสำนักรัตนโกสินทร์ตอนต้น. วารสารประวัติศาสตร์ไทย, 12(1), 88-110.
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT). (2563). เครื่องประดับไทย: อดีตและปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: GIT Press.
วรวรรณ ขวัญเมือง. (2565). อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมผ่านเครื่องประดับไทยร่วมสมัย. วารสารศิลปะและการออกแบบ, 17(2), 55-78.