อยุธยา
ศิราภรณ์ของสมัย อยุธยา
ศิราภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับศีรษะที่ใช้ในราชสำนักและงานพิธีสำคัญของสมัยอยุธยา เป็นเครื่องหมายของฐานันดรศักดิ์และความสง่างามของผู้สวมใส่ ทั้งฝ่ายบุรุษและสตรี การออกแบบศิราภรณ์สมัยอยุธยาเน้นความสมดุลแบบสมมาตรทั้งหมด สะท้อนถึงความเป็นระเบียบ เรียบร้อย และค่านิยมในความสง่างามตามแบบราชสำนักอยุธยา
การแบ่งประเภทของศิราภรณ์สมัยอยุธยา
ศิราภรณ์สมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
1.ศิราภรณ์บุรุษ
2.ศิราภรณ์สตรี
การจัดองค์ประกอบของทั้งสองประเภทใช้หลัก ความสมดุลแบบสมมาตร ทั้งหมด ไม่มีการออกแบบแบบอสมมาตร เพื่อความสง่างามและความเป็นทางการสูงสุด
รายละเอียดของศิราภรณ์แต่ละประเภท
1.ศิราภรณ์บุรุษ
– ลักษณะของศิราภรณ์บุรุษ ที่ปรากฏบนพระพุทธรูปและเทวรูป:
– ใช้ รูปแบบมงกุฎหรือเทริค (คือเครื่องประดับศีรษะทรงสูงรูปกรวย)
– แสดงถึงอำนาจสูงสุดและศักดิ์ศรีของบุรุษในฐานะกษัตริย์หรือผู้สูงศักดิ์
– ศิราภรณ์ทองคำที่เป็นของบุรุษ:
– เรียกว่า “จุลมงกุฎ”
– รูปทรง: ทรงกรวยสูง โปร่งสง่า
– โครงสร้าง: ทำเป็นโครงสร้างแบบ สาแหรก 4 เส้น เชื่อมต่อจากกรอบฐานด้านล่างพุ่งขึ้นไปสู่ยอดมงกุฎ
– ลักษณะนี้ช่วยให้ตัวศิราภรณ์มีความโปร่งเบา แต่ยังคงความแข็งแรงและสง่างาม
- ศิราภรณ์สตรี
– เรียกว่า “พระสุวรรณมาลา”
-รูปทรง: คล้ายหมวกแขก ซึ่งเป็นอิทธิพลการออกแบบจากอินเดีย
-โครงสร้าง:- ด้านหลังของศิราภรณ์มี ช่องเว้าโค้ง เพื่อรองรับมวยพระเกศา (มวยผม) ของผู้สวมใส่
- ช่องเว้าจะอยู่ในตำแหน่งตรงกลางท้ายทอย เพื่อให้สามารถรวบเกล้าผมต่ำและสวมศิราภรณ์ได้อย่างพอดี
- ลักษณะการออกแบบนี้แสดงถึงความประณีตและความเข้าใจในสรีระของผู้สวมใส่ และความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องประดับกับทรงผมอย่างลงตัว
กุณฑลสมัย อยุธยา


กุณฑล หรือเครื่องประดับหู เป็นหนึ่งในเครื่องประดับสำคัญในสมัยอยุธยา ที่แสดงถึงความสง่างามและฐานะของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง ทั้งฝ่ายบุรุษและสตรี การออกแบบกุณฑลในสมัยอยุธยามีความวิจิตรและหลากหลายมากขึ้นจากสมัยก่อนหน้า โดยมีการจัดองค์ประกอบทั้งแบบสมมาตรและอสมมาตรเพื่อเพิ่มมิติความงดงามให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
การแบ่งประเภทของกุณฑลสมัยอยุธยา
กุณฑลสมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
1. กุณฑลบุรุษ
– มีลักษณะการออกแบบที่เน้นความมั่นคง หนักแน่น
– การจัดองค์ประกอบมักใช้ ความสมดุลแบบสมมาตร สื่อถึงความสง่างามและความมีศักดิ์ศรีของบุรุษ
2. กุณฑลสตรี
– รูปแบบมีความอ่อนช้อย อ่อนหวาน และพลิ้วไหว
– การจัดองค์ประกอบมีทั้ง แบบสมมาตรและอสมมาตร
* แบบสมมาตร: ให้ความเป็นระเบียบ เรียบร้อย สง่างาม
* แบบอสมมาตร: สร้างความพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวา เสริมความงามให้โดดเด่น
รูปแบบการสวมใส่กุณฑลสมัยอยุธยา
กุณฑลในสมัยอยุธยามีรูปแบบการสวมใส่ 2 แบบหลัก ได้แก่:
1.แบบที่ 1: ใส่เฉพาะกุณฑล
– เป็นการสวมใส่เพียงกุณฑลเดี่ยว ๆ โดยไม่สวมเครื่องประดับเพิ่มเติมที่ศีรษะหรือใบหู
– รูปแบบนี้เน้นความเรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างามของตัวกุณฑลได้อย่างชัดเจน
2.แบบที่ 2: ใส่ทั้งกุณฑลและกรรเจียกจร
– เป็นการสวมใส่กุณฑลร่วมกับ กรรเจียกจร ซึ่งเป็นเครื่องประดับศีรษะที่เพิ่มความวิจิตรบรรจงให้กับการแต่งกาย
– การสวมใส่คู่กันนี้ช่วยเพิ่มความหรูหราและความสมบูรณ์แบบของการประดับกาย โดยเฉพาะในโอกาสสำคัญหรือพิธีการ
กรรเจียกจรสมัย อยุธยา


กรรเจียกจร เป็นเครื่องประดับศีรษะที่มีความสำคัญในงานศิลปะและการแต่งกายของราชสำนักไทย นิยมใช้ประดับศีรษะควบคู่กับกุณฑล (เครื่องประดับหู) โดยเฉพาะในชุดทรงเครื่องของชนชั้นสูง เพื่อเสริมความสง่างาม อำนาจ และบารมีของผู้สวมใส่
การแบ่งประเภทของกรรเจียกจร
กรรเจียกจรแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
- กรรเจียกจรบุรุษ
- การออกแบบเน้นความสง่างาม หนักแน่น และสมดุล
- ใช้ การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร เป็นหลัก เพื่อสื่อถึงความมั่นคง และอำนาจของผู้สวมใส่
- กรรเจียกจรสตรี
- รูปแบบอ่อนช้อย พลิ้วไหว
- ใช้ การจัดองค์ประกอบได้ทั้งแบบสมมาตรและอสมมาตร
- แบบสมมาตร: ให้ภาพลักษณ์สง่างาม เรียบร้อย
- แบบอสมมาตร: เพิ่มความพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวาให้กับรูปแบบของเครื่องประดับ
รูปแบบการสวมใส่กรรเจียกจร
การสวมใส่กรรเจียกจรแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ดังนี้:
- แบบที่ 1: ใส่เฉพาะกุณฑล
- เป็นรูปแบบที่เรียบง่าย ใช้เพียงกุณฑลประดับหู โดยไม่สวมกรรเจียกจร
- พบได้ในโอกาสที่การแต่งกายไม่ต้องการความอลังการมากนัก แต่ยังคงความงามสง่า
- แบบที่ 2: ใส่ทั้งกุณฑลและกรรเจียกจร
- นิยมใช้ในชุด ทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ
- ทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิเป็นการแต่งกายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในราชสำนัก แสดงถึงพระอิสริยยศสูงสุด
- นิยมใช้ในชุด ทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ
- การสวมใส่คู่กันระหว่างกุณฑลและกรรเจียกจร ช่วยเสริมความวิจิตร อลังการ และแสดงถึงอำนาจบารมีของผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน
กรองศอสมัย อยุธยา


กรองศอ เป็นเครื่องประดับบริเวณลำคอที่สำคัญทั้งในงานศิลปกรรมและการประดับกาย ใช้เพื่อเสริมความสง่างามและความสมบูรณ์แบบของการแต่งกาย โดยทุกรูปแบบของกรองศอไม่ว่าจะเป็นในงานประติมากรรม ปฏิมากรรม หรือเครื่องประดับจริง ล้วนยึดหลัก “การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลแบบสมมาตร” ซึ่งหมายถึง การออกแบบให้มีความเท่ากันทั้งสองด้าน ซ้าย-ขวา เพื่อความกลมกลืน สง่างาม และแสดงถึงความสมบูรณ์
การแบ่งประเภทของกรองศอ
กรองศอสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
- กรองศอที่ปรากฏในงานประติมากรรม
- เป็นรูปแบบที่พบในศิลปกรรมประเภทแกะสลักหรือสลักหิน
- แสดงถึงค่านิยมความงามและศักดิ์สิทธิ์ของการประดับในเชิงสัญลักษณ์
- กรองศอที่ปรากฏในงานปฏิมากรรม
- พบในรูปหล่อ หรือประติมากรรมโลหะ เช่น พระพุทธรูปหรือเทวรูป
- เน้นรายละเอียดที่ประณีตและสมดุลสมมาตร
- กรองศอที่เป็นเครื่องประดับจริง
- ใช้เป็นเครื่องประดับในชีวิตจริงของชนชั้นสูง
- สะท้อนความวิจิตรของงานช่างฝีมือและฐานะของผู้สวมใส่
ลักษณะของกรองศอ
กรองศอสมัยนี้มีลักษณะสำคัญแบ่งเป็น 2 แบบหลัก คือ:
- แบบวงโค้งตามรูปคอ
- เป็นกรองศอที่โค้งแนบไปตามลักษณะของลำคอ
- มี 2 ลักษณะย่อย:
- ขอบเรียบ: ตัวกรอบของกรองศอเป็นเส้นเรียบ ไม่มีลวดลายตกแต่งที่ขอบ
- ขอบระบาย: ขอบกรองศอประดับตกแต่งด้วยลายระบายหรือหยัก เพิ่มความวิจิตรและความพลิ้วไหวให้กับเครื่องประดับ
- แบบสายคล้องคอ
- ลักษณะเป็นสายห้อยยาวจากลำคอลงมาถึงบริเวณพระอุระ (ช่วงอก) หรือพระนาภี (ช่วงท้อง)
- สวมในลักษณะ เส้นคู่ คือ มีสองเส้นขนานกัน
- สายกรองศอมี 2 ลักษณะย่อย:
- แบบเส้นถัก: ใช้เทคนิคการถักทอด้วยเส้นลวดหรือวัสดุประณีตอื่น ๆ ให้เป็นสายที่แข็งแรงและสวยงาม
- แบบเส้นแถบประดับลายไข่ปลา: แถบสายกรองศอประดับลวดลายไข่ปลาที่เรียงต่อกัน สร้างความวิจิตรบรรจงและความละเอียดอ่อนของชิ้นงาน
รูปแบบการสวมใส่กรองศอ
กรองศอมีรูปแบบการสวมใส่ 3 แบบหลัก ได้แก่:
- แบบที่ 1: สวม กรองศอวงโค้งตามรูปคอ จำนวน 1 เส้น
- เรียบง่ายแต่สง่างาม เหมาะสำหรับการสวมใส่ในโอกาสทั่วไปที่ยังคงความวิจิตร
- แบบที่ 2: สวม กรองศอวงโค้งตามรูปคอ จำนวน 2 เส้น
- เพิ่มความโดดเด่นและความหรูหราให้กับการแต่งกาย
- แบบที่ 3: สวมทั้ง กรองศอวงโค้งตามรูปคอ และ กรองศอสายคล้องคอแบบเส้นคู่
- เป็นรูปแบบการสวมใส่ที่วิจิตรที่สุด ใช้ในโอกาสสำคัญหรือพิธีการที่ต้องการความครบถ้วนของเครื่องประดับ
สังวาลสมัย อยุธยา


สังวาล เป็นเครื่องประดับประดับลำตัวชนิดหนึ่ง ซึ่งถือเป็นเครื่องประดับชั้นสูงของสมัยอยุธยา ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เสริมความสง่างามของการแต่งกาย แต่ยังแสดงถึงสถานะ อำนาจ และความเจริญรุ่งเรืองของศิลปะและวัฒนธรรมไทยในยุคนั้นอย่างชัดเจน
ลักษณะเด่นของสังวาลสมัยอยุธยา
- เอกลักษณ์เฉพาะตัว
- สังวาลสมัยอยุธยามีความอ่อนช้อย งดงาม วิจิตรพิสดารกว่าสมัยก่อน
- รูปแบบของสังวาลประกอบด้วย หลายสายเชื่อมต่อกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความพลิ้วไหวและความอลังการของเครื่องประดับ
- สะท้อนความนิยมในความหรูหรา และความประณีตละเอียดอ่อนในงานศิลปกรรมของราชสำนักอยุธยา
- ลวดลายประดับตกแต่ง
- ใช้ ลวดลายไทยโบราณ อันประณีต เพื่อเพิ่มความงดงามและคุณค่าให้กับสังวาล
- ลวดลายยอดนิยม เช่น:
- ลายก้านขด: ลวดลายที่มีเส้นโค้งวนต่อเนื่องกัน สื่อถึงความพลิ้วไหว
- ลายดอกไม้: สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความงดงามตามธรรมชาติ
- ลายประจำยาม: ลวดลายไทยดั้งเดิม แสดงถึงความงามแบบคลาสสิกของศิลปะไทย
ทับทรวงสมัย อยุธยา


ทับทรวง เป็นเครื่องประดับที่สวมบริเวณกลางลำตัว ส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงอกถึงเหนือพระนาภี มีบทบาทสำคัญทั้งในการเสริมความงดงามให้กับชุดแต่งกาย และในเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อถึงฐานะ อำนาจ และความเป็นสิริมงคลของผู้สวมใส่
ลักษณะองค์ประกอบของทับทรวง
- การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)
- ทับทรวงทุกรูปแบบยึดหลักการออกแบบที่สมดุล ซ้ายขวาเท่ากัน
- การจัดวางองค์ประกอบเช่นนี้สร้างความรู้สึกของความเป็นระเบียบ เรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างาม และแฝงด้วยพลังแห่งความมั่นคง
- โครงสร้างหลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
- โครงสร้างรูปทรงเรขาคณิตที่นิยมมากในศิลปะไทยโบราณ
- ลักษณะรูปทรงนี้ให้ความรู้สึกถึงความมั่นคงแข็งแรง และสอดคล้องกับสรีระของผู้สวมใส่
- เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสง่างาม
รูปแบบทับทรวงที่ปรากฏ
- ทับทรวงบนพระพุทธรูปเครื่องทรงใหญ่
- มีการตกแต่งเพิ่มเติมที่วิจิตร คือ การประดับด้วย โครงสร้างรูปกระหนกเปลว
- ลายกระหนกเปลวเป็นลวดลายศิลปะไทยที่แสดงถึงเปลวไฟหรือความรุ่งเรือง เปรียบเสมือนพลังชีวิต ความเจริญ และความเป็นมงคล
- ช่วยเพิ่มความอลังการและความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระพุทธรูปองค์สำคัญ
- ทับทรวงทองคำ (รูปแบบที่ 7)
- เป็นชิ้นส่วนทับทรวงที่ทำจากทองคำ โดยเฉพาะ
- มีรูปทรงคล้าย หัวลูกศร
- รูปทรงนี้สื่อถึง ความแข็งแกร่ง ความมุ่งมั่น และพลัง
- ช่วยสร้างความเด่นชัดและเสริมความสง่างามให้กับเครื่องแต่งกาย
- ทองคำเป็นวัสดุที่แสดงถึงความมั่งคั่ง ความศักดิ์สิทธิ์ และฐานะสูงของผู้สวมใส่
พาหุรัดสมัย อยุธยา


พาหุรัด หรือเครื่องประดับต้นแขน เป็นเครื่องประดับสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของสมัยสุโขทัย ที่ใช้เสริมความงดงามและสง่างามของเรือนร่าง สะท้อนถึงรสนิยมของผู้สวมใส่ในยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงและบุคคลในพิธีการ
ลักษณะองค์ประกอบของพาหุรัดสมัยสุโขทัย
- การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Composition)
- พาหุรัดสมัยสุโขทัยออกแบบโดยยึดหลักความสมดุลที่เท่ากันทั้งสองข้างของตัวเรือน
- ลักษณะสมมาตรนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นระเบียบ เรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างามตามแบบฉบับศิลปะสุโขทัย
- การแบ่งประเภทของตัวเรือนพาหุรัด
พาหุรัดสมัยสุโขทัยมี 2 แบบหลัก คือ:
- แบบเส้นลวดกลม
- ตัวเรือนเป็นเส้นลวดกลมเรียบเนียนตลอดทั้งวง
- รูปลักษณ์เรียบง่าย สื่อถึงความงดงามที่ไม่ฟุ่มเฟือย
- ความกลมของเส้นช่วยเพิ่มความอ่อนช้อยและกลมกลืนกับสรีระต้นแขน
- แบบแผ่น
- ตัวเรือนเป็นแผ่นแบน มีความกว้างตลอดทั้งวง
- ให้ความรู้สึกหนักแน่นและสง่างามยิ่งขึ้น
- การใช้แผ่นช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับพาหุรัดเมื่อสวมใส่
- ลักษณะพิเศษของตัวเรือน
- พาหุรัดในสมัยสุโขทัยมีลักษณะโครงสร้างเป็น ทรงกระบอกคล้ายแหวนทรงปลอกมีดขนาดใหญ่
- มีลักษณะเด่นคือ ความกว้างและความหนาเท่ากันตลอดทั้งวง ไม่เรียวหรือบานออก
- ทำให้ได้รูปทรงที่มั่นคงและดูสง่างามตลอดตัวเครื่องประดับ สะท้อนความเรียบโก้และสมดุลอย่างแท้จริงตามค่านิยมของศิลปะสุโขทัย
ทองกรสมัย อยุธยา


ทองกร เป็นเครื่องประดับข้อมือที่สำคัญในงานศิลปะและการประดับกายไทยโบราณ โดยเฉพาะในสมัยอยุธยาและต่อเนื่องมาจากสมัยก่อน ทองกรสะท้อนถึงความวิจิตรของงานฝีมือ ความงามที่เปี่ยมด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ และฐานะของผู้สวมใส่
ลักษณะองค์ประกอบของทองกร
- การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)
- ทองกรทุกแบบออกแบบโดยยึดหลักความสมดุลทั้งสองข้างของตัวเรือน
- เสริมความงดงามและความสมบูรณ์ของเครื่องประดับ สะท้อนความมีระเบียบและความประณีตของช่างฝีมือไทย
- ลวดลายประดับบนตัวเรือน
- ลวดลายส่วนใหญ่พัฒนามาจาก ลายไทย โบราณที่นิยมในงานศิลปะหลากหลายสาขา เช่น ประติมากรรม ปฏิมากรรม และเครื่องประดับ
- ลวดลายยอดนิยมบนทองกร ได้แก่:
- ลายประจำยาม: ลายเรขาคณิตพื้นฐาน สี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง
- ลายเม็ดประคำ: รูปทรงกลมเรียงต่อกัน สื่อถึงความเป็นสิริมงคล
- ลายดอกไม้ในรูปช่องสี่เหลี่ยม: ดอกไม้ในกรอบเรขาคณิต แสดงถึงความงามตามธรรมชาติ
- ลายกระจัง: ลายเปลวไฟพลิ้วไหว สื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง
- ลายดอกไม้กลม: ลายดอกไม้ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
- ลายตาราง: ลายกรอบตารางสอดประสานกัน สื่อถึงระเบียบและความเป็นระบบ
- ลายบัวหงาย: ลายบัวที่โค้งรับขึ้นด้านบน แทนความเจริญงอกงาม
- ลายไข่ปลา: ลายกลมเรียงต่อกันเป็นแนว สื่อถึงความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์
ธำมรงค์สมัย อยุธยา


ธำมรงค์ หรือแหวน เป็นเครื่องประดับที่สำคัญในสมัยอยุธยา สะท้อนความวิจิตรของงานช่างและรสนิยมอันประณีตของสังคมชนชั้นสูง นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของฐานะและความมั่งคั่งแล้ว ธำมรงค์ยังแฝงด้วยคติความเชื่อด้านสิริมงคลและการปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่
ประเภทของธำมรงค์สมัยอยุธยา
ธำมรงค์สมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
- ธำมรงค์แบบสมมาตร
- ใช้ การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลสมมาตร
- ออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะส่วน หน้าแหวน ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม
- รูปทรงของหน้าแหวน:
- ทรงกลม: แสดงถึงความสมบูรณ์แบบและความนิรันดร์
- สี่เหลี่ยม: สื่อถึงความมั่นคง แข็งแกร่ง
- วงรี: สะท้อนความพลิ้วไหวและความงดงามที่อ่อนช้อย
- ธำมรงค์แบบอสมมาตร
- มีลักษณะเฉพาะตัว คือ หัวธำมรงค์เป็นรูปสัตว์ทั้งหมด
- รูปสัตว์ที่ใช้ประดับหัวแหวนมักสื่อความหมายที่เป็นมงคล เช่น:
- สิงห์: พลังอำนาจและความกล้าหาญ
- พญานาค: ความอุดมสมบูรณ์และการคุ้มครอง
- ครุฑ: อำนาจ ความศักดิ์สิทธิ์ และความเป็นสิริมงคล
- การออกแบบแบบอสมมาตรนี้ช่วยเพิ่มความโดดเด่น และทำให้ธำมรงค์กลายเป็นเครื่องประดับที่สะดุดตาและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ทองพระบาทสมัย อยุธยา

ทองพระบาท เป็นเครื่องประดับข้อเท้าอันทรงคุณค่าในสมัยอยุธยา ใช้สวมประดับข้อเท้าในราชสำนักและชนชั้นสูง แสดงถึงฐานะ ความวิจิตรบรรจงของงานฝีมือ และความเชื่อเรื่องสิริมงคลตามคติของสังคมไทยโบราณ
ลักษณะเด่นของทองพระบาทสมัยอยุธยา
- การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)
- ทองพระบาทออกแบบด้วยความสมดุลซ้าย-ขวาอย่างเท่ากันทุกส่วน
- การจัดองค์ประกอบเช่นนี้ทำให้ตัวเครื่องประดับดูสง่างาม เป็นระเบียบ และสะท้อนความประณีตของงานฝีมือช่างไทย
- โครงสร้างหลักของทองพระบาท
- ทองพระบาทสมัยอยุธยา มีโครงสร้างที่สอดคล้องกับเครื่องประดับชนิดอื่น เช่น พาหุรัด และทองกร
- ตัวเรือนมักออกแบบเป็น ทรงกระบอก หรือทรงปลอกมีดแบบแบน
- ทรงกระบอก: ให้ความรู้สึกหนักแน่น แข็งแรง แต่ยังคงความสง่างาม
- ทรงปลอกมีดแบบแบน: เพิ่มความพลิ้วไหวของเส้นสาย เสริมให้ขาและข้อเท้าดูเรียวงามเมื่อสวมใส่
- โครงสร้างโดยรวมสื่อถึงความแข็งแรงและสง่างามในเวลาเดียวกัน
- ลวดลายประดับตกแต่ง
- ขอบของตัวเรือนประดับด้วยลวดลายคล้ายระบายภายนอกเส้นโครงสร้างหลัก
- เพิ่มความวิจิตรบรรจง
- ทำให้เครื่องประดับดูโดดเด่นและละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น
- ลวดลายที่ใช้มักได้รับอิทธิพลจากลายไทยโบราณ เช่น ลายก้านขด ลายใบไม้ ลายดอกไม้ เพิ่มความเป็นสิริมงคล
- ขอบของตัวเรือนประดับด้วยลวดลายคล้ายระบายภายนอกเส้นโครงสร้างหลัก