ความรู้เกี่ยวกับประเภทของเครื่องประดับอัตลักษณ์ไทย

ส่วนหัว
ศิราภรณ์
ศิราภรณ์ คือเครื่องประดับศีรษะที่มีลักษณะเป็นมงกุฎหรือเกี้ยว ใช้สวมบนศีรษะเพื่อแสดงฐานะและความมีเกียรติในราชสำนักไทยโบราณ โดยเฉพาะในหมู่กษัตริย์และเจ้านายชั้นสูง ศิราภรณ์มักทำจากทองคำลงยา ประดับด้วยเพชร พลอย ทับทิม หรือไพลิน ขึ้นอยู่กับฐานะของผู้สวมใส่ รูปแบบการออกแบบศิราภรณ์จะเน้นความสูงและความอ่อนช้อย ลวดลายที่นิยม ได้แก่ ลายดอกไม้ เครือเถา และลายกนกเปลว ในงานพิธีสำคัญ เช่น งาราชาภิเษก หรือการแสดงโขน ศิราภรณ์ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อเสริมความสง่างามและความขลัง ศิราภรณ์ยังสะท้อนแนวคิดเรื่องจักรวาลทัศน์ในศาสนาพุทธ เช่น การเปรียบศีรษะเป็นยอดเขาพระสุเมรุ การสร้างศิราภรณ์ต้องใช้ช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญในการขึ้นรูปทอง ลงยา และฝังอัญมณีอย่างละเอียดประณีต ศิราภรณ์บางชิ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีน้ำหนักถึง 3–5 กิโลกรัม ปัจจุบันศิราภรณ์ยังปรากฏอยู่ในงานพระราชพิธีสำคัญและงานแสดงนาฏศิลป์ไทย เช่น โขน ละครนอก และละครใน

กุณฑล
กุณฑล คือเครื่องประดับหูที่นิยมใช้ในราชสำนักไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มีทั้งรูปแบบตุ้มหูเดี่ยวหรือแบบคู่ ลักษณะของกุณฑลแตกต่างกันตามสมัยและฐานะของผู้สวมใส่ โดยทั่วไปทำจากทองคำ เงิน ลงยา หรือประดับด้วยอัญมณี เช่น ทับทิม ไพลิน และเพชร กุณฑลแบบดั้งเดิมมีทั้งแบบห่วงกลมขนาดใหญ่ และแบบห้อยระย้า กุณฑลไม่เพียงใช้เพื่อเสริมความงาม แต่ยังสื่อถึงฐานะทางสังคมและความเชื่อเรื่องอำนาจคุ้มครอง กุณฑลที่สวมโดยกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์มักประดับด้วยพลอยหลากสีและลงยาด้วยลวดลายละเอียด เช่น ลายเครือเถา หรือลายกนก ในงานพิธีสำคัญอย่างราชพิธีบรมราชาภิเษก กุณฑลถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้ วัสดุที่ใช้ทำกุณฑลมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่น ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลายมีการนำแพลทินัมและเพชรแบบยุโรปมาประกอบเข้ากับเครื่องกุณฑล ปัจจุบันกุณฑลยังคงได้รับความนิยมในชุดเครื่องแต่งกายไทยประยุกต์ เช่น ชุดไทยศิวาลัย และชุดไทยจักรี

กรรเจียกจร
กรรเจียกจร คือเครื่องประดับหัวคล้ายหงอนที่ใช้ประดับส่วนกลางกระหม่อม นิยมในกลุ่มตัวละครเอกในโขนและละครใน เช่น พระราม ทศกัณฐ์ และนางสีดา กรรเจียกจรมีลักษณะเป็นยอดสูงและเรียวแหลม ทำจากวัสดุทองคำลงยา และประดับด้วยพลอยหลากสี เทคนิคการทำกรรเจียกจรเน้นการปั้นโครงโลหะให้ได้รูปสัดส่วนสวยงามตามรูปหัวผู้สวม และตกแต่งด้วยการแกะลวดลายละเอียด เช่น ลายกนก ลายเทพพนม ลักษณะเด่นของกรรเจียกจรคือส่วนยอดที่สูงเสียดฟ้า เปรียบเสมือนความสูงส่งของศักดิ์ศรี เครื่องประดับนี้มีรากฐานแนวคิดจากคติจักรวาลในศาสนาพุทธที่ถือว่ายอดสูงสุดหมายถึงเขาพระสุเมรุ กรรเจียกจรที่ใช้ในราชสำนักมีขนาดใหญ่และประดับอย่างอลังการ แตกต่างจากกรรเจียกจรในละครนอกที่มีขนาดเล็กและประดับง่ายกว่า นอกจากใช้ในงานศิลปะการแสดงแล้ว กรรเจียกจรยังปรากฏในพระราชพิธีสำคัญ เช่น งานพระเมรุมาศด้วย

ส่วนลำตัว
กรองศอ
กรองศอ คือเครื่องประดับที่สวมรอบคอ ลักษณะคล้ายสร้อยคอใหญ่ หรืออาจเปรียบได้กับปกเสื้อที่ทำด้วยโลหะมีค่า เช่น ทองคำ ทองคำขาว หรือลงยาสี นิยมใช้ในราชสำนักไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา กรองศอของกษัตริย์และพระราชวงศ์จะประดับด้วยเพชร พลอย ทับทิม ไพลิน หรือมรกต โดยจัดเรียงอย่างประณีตเพื่อสื่อถึงอำนาจและบารมี การออกแบบกรองศอเน้นลวดลายอ่อนช้อย เช่น ลายเครือเถา ลายกนกเปลว และลายพฤกษา สำหรับขุนนางและข้าราชการชั้นสูงก็มีการสวมกรองศอในบางพิธีกรรมเช่นกัน กรองศอถือเป็นหนึ่งในเครื่องราชูปโภคที่ขาดไม่ได้ในพิธีบรมราชาภิเษก ในการทำกรองศอ ช่างศิลป์ไทยจะใช้เทคนิคการเชื่อมต่อชิ้นส่วนขนาดเล็กเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน เพื่อให้เครื่องประดับมีความยืดหยุ่นและไม่ทำให้ผู้สวมใส่อึดอัด ปัจจุบันกรองศอถูกนำมาประยุกต์ในเครื่องแต่งกายชุดไทยพระราชนิยม เช่น ชุดไทยศิวาลัย และเห็นได้ในพิธีสำคัญระดับชาติ เช่น งานพระราชพิธีถวายพระพรชัยมงคล

สังวาล
สังวาล คือสายสร้อยหรือเครื่องประดับที่พาดจากไหล่หนึ่งข้างลงมาถึงสะเอวอีกข้างหนึ่ง โดยทำจากโลหะมีค่า เช่น ทองคำ หรือทองคำลงยา และประดับอัญมณีเช่นเดียวกับกรองศอ สังวาลมีบทบาทสำคัญในการแสดงถึงฐานันดรศักดิ์ในราชสำนัก ใช้ในหมู่กษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางชั้นสูง รูปแบบสังวาลในสมัยรัตนโกสินทร์มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น สังวาลสายเดี่ยว สังวาลสายคู่ และสังวาลที่มีการห้อยจี้อัญมณีจำนวนมาก ลวดลายของสังวาลสะท้อนคติจักรวาล เช่น ลายเมฆ ลายดอกบัว และลายเทพนม ในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พิธีบรมราชาภิเษกและงานพระราชทานเพลิงพระศพ กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์จะทรงสวมสังวาลเพื่อเพิ่มความสง่างามและความศักดิ์สิทธิ์ สังวาลบางเส้นถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง ใช้อัญมณีมีค่าหลายชนิดร่วมกันอย่างประณีต เช่น เพชร ทับทิม ไพลิน และบุษราคัม ปัจจุบันสังวาลยังปรากฏในเครื่องแต่งกายโขน และละครนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย

ทับทรวง
ทับทรวง คือเครื่องประดับสำหรับส่วนกลางอก นิยมใช้ควบคู่กับกรองศอและสังวาลเพื่อเสริมความหรูหรา ลักษณะทั่วไปของทับทรวงเป็นจี้ขนาดใหญ่ หรือแผ่นโลหะรูปทรงเรขาคณิต เช่น วงกลม หรือหยดน้ำ ประดับด้วยเพชร พลอย และลงยาสีสดใส ทับทรวงมีบทบาทในการเน้นให้เครื่องแต่งกายไทยดูมีมิติ และเพิ่มความสมบูรณ์ของเครื่องประดับ โดยเฉพาะชุดทางการ เช่น เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ การออกแบบทับทรวงนิยมใช้ลวดลายเกี่ยวกับสิริมงคล เช่น ลายพรรณพฤกษา ลายเมฆ และลายจักรพรรดิ์ในแนวศิลปะไทย ทับทรวงของกษัตริย์และพระราชินีมักสร้างจากทองคำบริสุทธิ์ และอัญมณีที่มีความหมายทางศาสนา เช่น ทับทิมแทนชัยชนะ หรือไพลินแทนสติปัญญา ปัจจุบันทับทรวงถูกประยุกต์เข้ากับเครื่องแต่งกายแบบไทยประยุกต์ในงานสำคัญ เช่น งานแต่งงาน และงานพระราชพิธี รวมทั้งปรากฏในการแต่งกายของตัวละครเอกในนาฏศิลป์ไทยชั้นสูง เช่น การแสดงโขนพระราชทาน

ส่วนแขน
พาหุรัด
พาหุรัด คือเครื่องประดับที่สวมตรงต้นแขน ลักษณะคล้ายปลอกแขน หรือแถบโลหะที่โอบรอบแขน ชื่อ “พาหุ” แปลว่าแขน และ “รัด” คือการพันหรือรัด พาหุรัดทำจากวัสดุโลหะมีค่า เช่น ทองคำ หรือทองลงยาประดับพลอย นิยมใช้ในราชสำนักตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ พาหุรัดของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์จะประดับอย่างวิจิตร เช่น ลายดอกไม้ ลายเทพพนม หรือรูปสัตว์หิมพานต์ วัตถุประสงค์ของการใส่พาหุรัดนอกจากเพื่อความงาม ยังหมายถึงการป้องกันภัย และสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งทางอำนาจ พาหุรัดมักใช้ควบคู่กับเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ทองกรและสังวาล โดยการออกแบบจะประสานความงดงามเข้ากับความหมายทางศาสนา เช่น ลายเครือเถาที่สื่อถึงความต่อเนื่องของชีวิต พาหุรัดยังมีบทบาทในศิลปะการแสดง เช่น โขน และละครในที่ตัวละครเอกหรือเทพเจ้าจะต้องสวมใส่เพื่อเสริมบุคลิกภาพให้ดูยิ่งใหญ่ ปัจจุบันพาหุรัดถูกนำมาประยุกต์ในการแต่งชุดไทยสำหรับพิธีการและการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูง

ทองกร
ทองกร คือเครื่องประดับที่สวมบริเวณข้อมือ ทำจากทองคำหรือโลหะมีค่าอื่นๆ เช่น เงิน ทองลงยา และแพลทินัม ทองกรมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี มีขนาดพอดีกับข้อมือ ชื่อ “ทองกร” มาจากคำว่า “ทอง” และ “กร” หมายถึงมือหรือแขน ทองกรมีบทบาทสำคัญในราชพิธีต่างๆ และใช้แสดงฐานะทางสังคม รูปแบบของทองกรมีทั้งแบบเรียบและแบบประดับด้วยลายแกะสลัก หรือลงยาสีสันสดใส ลายที่นิยม ได้แก่ ลายเมฆ ลายประจำยาม และลายกนก ทองกรมักทำคู่กันเป็นสองข้างเพื่อความสมดุลย์ ช่างศิลป์ไทยให้ความสำคัญกับความละเอียดอ่อนของการขึ้นรูปและการตกแต่งทองกร ทองกรในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีฉัตรมงคล จะต้องประดับด้วยเพชรหรืออัญมณีมงคลตามลำดับชั้นของผู้สวมใส่ ปัจจุบันทองกรยังได้รับความนิยมในงานแต่งงานไทย งานพิธีสำคัญ และการแสดงนาฏศิลป์ เช่น การแสดงรำไทยชุดมาตรฐาน

ธำมรงค์
ธำมรงค์ คือแหวน หรือเครื่องประดับนิ้วมือ มีความสำคัญในฐานะเครื่องหมายของฐานันดรศักดิ์และความมีอำนาจ ธำมรงค์ทำจากวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ ทองคำขาว หรือเงิน และประดับด้วยอัญมณี เช่น เพชร ทับทิม หรือมรกต ธำมรงค์ในราชสำนักไทยโบราณถูกกำหนดรูปแบบตามตำแหน่ง เช่น กษัตริย์มักทรงธำมรงค์เพชรขนาดใหญ่ที่นิ้วชี้หรือนิ้วก้อย เพื่อแสดงถึงความสูงศักดิ์ การออกแบบธำมรงค์นิยมใช้ลวดลายมงคล เช่น ลายดอกบัว ลายกนกเปลว หรือลายจักรพรรดิ์ ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ธำมรงค์ยังมีบทบาทในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เช่น พิธีราชาภิเษก หรือพิธีบำเพ็ญกุศลสำคัญ ธำมรงค์ไม่เพียงเป็นเครื่องประดับความงาม แต่ยังสะท้อนความเชื่อเรื่องพลังอำนาจและการปกป้องคุ้มครอง ปัจจุบันธำมรงค์ยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งในฐานะแหวนหมั้น แหวนแต่งงาน และแหวนมงคลที่ใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ

ส่วนเท้า
ทองพระบาท
ทองพระบาท คือเครื่องประดับเท้าชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแผ่นทองหรือโลหะมีค่า เช่น ทองคำ หรือทองคำขาว ที่สวมครอบบริเวณฝ่าเท้า หรือนิ้วเท้า ทองพระบาทมีต้นกำเนิดจากแนวคิดการเชิดชูพระบาทหรือเท้าในฐานะสัญลักษณ์ของพระราชา หรือบุคคลสำคัญที่เปรียบดั่งพระโพธิสัตว์ ทองพระบาทที่ใช้ในราชสำนักมีความประณีตสูง ประดับด้วยลวดลายแกะสลัก เช่น ลายดอกบัว ลายเมฆ และลายกนกทอง รวมทั้งประดับพลอยหลากสีตามลำดับชั้นของบุคคล ทองพระบาทไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่สงวนไว้สำหรับพิธีสำคัญ เช่น พิธีราชาภิเษก หรือพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งต้องการความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด การทำทองพระบาทต้องใช้ช่างทองที่มีความชำนาญเฉพาะทาง โดยต้องวัดรูปเท้าอย่างละเอียดและขึ้นโครงทองให้แนบสนิทกับฝ่าเท้าอย่างพอดี ความเชื่อในสมัยโบราณถือว่าการที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นดินโดยตรงเป็นเรื่องไม่สมควรสำหรับกษัตริย์ หรือผู้มีบุญบารมี ทองพระบาทจึงเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันสถานะและความศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันทองพระบาทยังปรากฏในการแสดงโขน หรือการแสดงพระราชพิธีโบราณที่ฟื้นฟูขึ้น เช่น พิธีสมโภชพระมหาพิชัยมงกุฎ

อ้างอิง
กรมศิลปากร. (2560). ศิลปะเครื่องประดับในราชสำนักไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2559). เครื่องประดับไทย: ศิลปะและความหมายทางวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: กระทรวงวัฒนธรรม.
ภาวิณี ศรีประเสริฐ. (2561). นาฏศิลป์ไทยกับศิลปะเครื่องประดับโบราณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

วิไลวรรณ หุตะสิงห์. (2563). เครื่องประดับในราชสำนักไทย: ความหมายและการเปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
จิราภรณ์ วงศ์ไพศาลสิน. (2564). เครื่องประดับไทย: ศิลปะการแสดงฐานะและอำนาจ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ณัฐวดี พุ่มพวง. (2562). เครื่องประดับกลางอกในราชสำนักไทย: รูปแบบและความหมาย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปรานอม บุญประคอง. (2563). เครื่องประดับไทย: ความหมายและการสืบทอดวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
อัมพร สุวรรณโกมล. (2564). เครื่องประดับในพิธีราชสำนักไทย: ศิลปะและความหมาย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมชาย ศรีสวัสดิ์. (2561). แหวนและธำมรงค์ในสังคมไทย: ความหมายและสัญลักษณ์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2562). เครื่องประดับกับพิธีกรรมในสังคมไทยโบราณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.