การบุ
การบุ (Padding) เป็นเทคนิคที่ใช้สร้างมิติให้กับเครื่องประดับ โดยนำวัสดุเสริม เช่น ผ้าหรือโลหะแผ่นบางๆ มาวางซ้อนใต้แผ่นทอง หรือแผ่นโลหะหลัก เพื่อทำให้ส่วนหนึ่งนูนเด่นขึ้นจากพื้นผิว การบุช่วยเพิ่มความรู้สึกนุ่มนวลและหรูหราให้กับชิ้นงาน เทคนิคนี้นิยมใช้ในการทำเครื่องประดับราชสำนัก เช่น กรองศอ หรือทับทรวง ที่ต้องมีลวดลายนูนสูง การบุต้องอาศัยความละเอียดในการวางวัสดุให้สมดุล เพื่อไม่ให้ผิวแผ่นโลหะเบี้ยวหรือเสียรูป งานบุทองคำในไทยโบราณจะต้องใช้ทองแผ่นบางพิเศษที่ตีจนเรียบและยืดหยุ่นได้ดี เทคนิคการบุยังช่วยลดน้ำหนักเครื่องประดับขนาดใหญ่ ทำให้สวมใส่สบายยิ่งขึ้น ปัจจุบันการบุยังใช้ในงานเครื่องประดับศิลป์ชั้นสูง และฟื้นฟูในงานนาฏศิลป์เช่นเครื่องแต่งกายโขนพระราชทาน
การหุ้ม
การหุ้ม (Covering) เป็นเทคนิคที่ใช้วัสดุหนึ่งหุ้มวัสดุอีกชั้นหนึ่ง เช่น การหุ้มผ้าไหมหรือกระดาษด้วยทองคำเปลว หรือหุ้มแกนโลหะด้วยทองคำ เทคนิคการหุ้มนี้ใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความสวยงามให้เครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ สร้อยสังวาล หรือทับทรวงบางประเภท วัสดุที่หุ้มต้องแนบสนิทเรียบเนียน และไม่เกิดรอยย่น การหุ้มทองคำเปลวต้องใช้ความชำนาญสูงในการควบคุมแรงกดและความร้อน เพื่อป้องกันการฉีกขาด เทคนิคหุ้มยังช่วยประหยัดวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ เพราะใช้แค่เปลือกนอก เทคนิคนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา และสืบทอดจนถึงปัจจุบันในงานหัตถกรรมไทยหลายแขนง เช่น งานทองประดับลงยา หรืองานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ปัจจุบันเทคนิคหุ้มยังปรากฏในการผลิตเครื่องประดับทองคำที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ยังคงความหรูหรา
การดุน
การดุน (Repoussé) คือเทคนิคการเคาะหรือกดโลหะแผ่นบางจากด้านหลัง เพื่อให้เกิดลวดลายหรือภาพนูนขึ้นที่ด้านหน้า เทคนิคนี้นิยมมากในงานเครื่องประดับไทย เช่น ทองกร สร้อยคอ หรือศิราภรณ์ การดุนต้องเริ่มจากการออกแบบลายอย่างละเอียด จากนั้นนำแผ่นทองหรือเงินมาวางบนฐานนุ่ม เช่น ยางมะตอยอุ่น แล้วใช้เครื่องมือหัวกลมดุนตามแนวลายเพื่อสร้างมิติ การดุนช่วยให้ชิ้นงานมีความอ่อนช้อย มีความลึก และความสมจริงมากขึ้น เทคนิคการดุนต้องอาศัยความแม่นยำของแรงมือ เพื่อให้ความลึกของลายสม่ำเสมอ และป้องกันการฉีกขาดของแผ่นโลหะ การดุนยังเป็นพื้นฐานของเทคนิคการสร้างเครื่องประดับที่ต้องการความวิจิตรงดงาม เช่น เครื่องราชูปโภคชั้นสูง นอกจากนี้ เทคนิคดุนยังเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา เช่น การดุนลายเทพพนมหรือสัตว์หิมพานต์ในเครื่องทรงพระพุทธรูป
การถักแบบกลม
การถักแบบกลม (Round Weaving) คือเทคนิคการนำเส้นโลหะ เช่น เส้นทอง เส้นเงิน หรือเส้นทองแดง มาขัดสานกันเป็นรูปทรงกระบอก หรือเชือกกลม เทคนิคนี้นิยมใช้ทำสายสร้อย กรองศอ หรือส่วนของสังวาล โดยให้ลวดลายเนียนแน่นสม่ำเสมอ การถักแบบกลมต้องใช้เส้นโลหะขนาดบางเท่าๆ กัน และต้องควบคุมแรงมือตลอดการถัก เพื่อให้ได้ความหนาแน่นและความโค้งมนที่สวยงาม เส้นที่ใช้ถักมักถูกเผาอ่อนเพื่อให้ขึ้นรูปง่าย เทคนิคนี้ช่วยให้สายสร้อยมีความแข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ดี งานถักแบบกลมในเครื่องประดับไทยยังใช้ตกแต่งด้วยการประดับหัว-ท้ายด้วยฝาครอบทองประดับพลอย หรือทองลงยา เพื่อความหรูหรา ความนิยมของการถักแบบกลมพบมากในสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปัจจุบันยังใช้ในงานสร้างสร้อยคอทองคำแบบโบราณ และงานเครื่องแต่งกายโขน
การถักแบบห่วง
การถักแบบห่วง (Loop Weaving) เป็นเทคนิคที่ใช้การเชื่อมห่วงเล็กๆ ของเส้นโลหะเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องจนเป็นแผ่นหรือสาย โดยไม่ต้องใช้เส้นยาวๆ ถักแบบกลม เทคนิคนี้นิยมมากในงานสร้อยคอ สร้อยข้อมือ และเข็มขัด เครื่องประดับแบบถักห่วงมีลักษณะยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา และสามารถออกแบบลวดลายได้หลากหลาย การทำห่วงต้องอาศัยความประณีต เช่น การตัดเส้นลวดให้ขนาดเท่ากัน การโค้งห่วงให้กลมสมบูรณ์ และการบัดกรีปิดห่วงให้แน่น เทคนิคการถักห่วงในเครื่องประดับไทยได้รับอิทธิพลจากศิลปะเปอร์เซียและอินเดียโบราณ แต่มีการพัฒนาให้เข้ากับรูปแบบไทย เช่น การประดับห่วงด้วยเม็ดทองลงยา หรือการถักห่วงหลายชั้นแบบซ้อนกัน ปัจจุบันการถักห่วงยังคงพบในงานเครื่องประดับทำมือคุณภาพสูง และในงานอนุรักษ์เครื่องประดับไทยโบราณ
ร้อยห่วง
การร้อยห่วง (Linking) เป็นเทคนิคพื้นฐานของการประกอบชิ้นส่วนเครื่องประดับโดยใช้ห่วงโลหะเชื่อมต่อกัน ห่วงที่ร้อยต้องมีขนาดสม่ำเสมอ และรอยเชื่อมต้องแน่นหนาเพื่อความแข็งแรง เทคนิคนี้นิยมในงานสร้อยคอ สร้อยสังวาล และสร้อยข้อมือในราชสำนัก การร้อยห่วงในศิลปะไทยไม่ใช่แค่การเชื่อมชิ้นส่วน แต่ยังมีการออกแบบลวดลายเฉพาะ เช่น การร้อยไขว้ การร้อยสาน และการร้อยแบบเรียงเม็ดทองที่มีความสมดุลย์ การร้อยห่วงยังใช้ร่วมกับการฝังพลอย หรือการหุ้มทองเพื่อเพิ่มความงามและความทนทาน เทคนิคนี้ช่วยให้เครื่องประดับมีความยืดหยุ่นสูง สวมใส่สบาย และไม่ขาดง่าย ความประณีตในการร้อยห่วงสะท้อนฝีมือของช่างและคุณค่าของชิ้นงาน ปัจจุบันการร้อยห่วงยังคงเป็นเทคนิคสำคัญในงานเครื่องประดับทองคำ และงานสร้างเครื่องประดับโขนพระราชทาน
การหิ้วห่วง
การหิ้วห่วง (Dangling Links) คือเทคนิคการต่อห่วงเล็กๆ เข้ากับตัวเรือนหลัก โดยปล่อยให้ห่วงหรืออัญมณีที่ติดห้อยมีการเคลื่อนไหวอิสระ เทคนิคนี้มักใช้ในต่างหู ทับทรวง และส่วนห้อยของสังวาล การหิ้วห่วงช่วยเพิ่มความอ่อนช้อย ความพลิ้วไหว และเสน่ห์ให้กับเครื่องประดับ การออกแบบหิ้วห่วงต้องคำนึงถึงน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วง เพื่อไม่ให้ตัวเครื่องประดับเสียสมดุล ห่วงที่ใช้ต้องมีความแข็งแรงสูง เพื่อรองรับแรงกระแทกเบาๆ ขณะสวมใส่ เทคนิคนี้ยังช่วยให้แสงสะท้อนกับอัญมณีได้หลากหลายมุม เพิ่มความระยิบระยับ เทคนิคหิ้วห่วงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ช่างศิลป์ไทยมักทำห่วงโดยใช้การบัดกรีอย่างละเอียดเพื่อป้องกันห่วงขาด งานหิ้วห่วงปรากฏให้เห็นเด่นชัดในงานเครื่องประดับศิลป์ร่วมสมัยที่เน้นความเคลื่อนไหว
การเคาะ
การเคาะ (Hammering) เป็นเทคนิคการตีขึ้นรูปโลหะด้วยค้อนเพื่อทำให้โลหะบางลง หรือสร้างลวดลายบนผิวหน้า เทคนิคเคาะมีหลายรูปแบบ เช่น เคาะให้แบน เคาะให้โค้ง หรือเคาะเพื่อสร้างลวดลายผิวที่มีเท็กซ์เจอร์ เคาะเป็นขั้นตอนสำคัญในการขึ้นรูปแผ่นทองหรือแผ่นเงินสำหรับทำเครื่องประดับ เช่น กรองศอ หรือศิราภรณ์ การเคาะต้องใช้แรงสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้โลหะแตกร้าว ช่างไทยโบราณมีเทคนิคการเคาะด้วยค้อนชนิดพิเศษที่มีหัวหลายแบบ เช่น ค้อนหัวกลม ค้อนหัวแบน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง การเคาะยังเป็นพื้นฐานของการทำงานดุน และการทำโครงสร้างเครื่องประดับชั้นสูง ปัจจุบันเทคนิคเคาะยังคงใช้ในงานเครื่องประดับทองคำลงยา และการทำเครื่องราชอิสริยาภรณ์
การดัด
การดัด (Bending) คือเทคนิคการดัดโค้งเส้นลวดหรือแผ่นโลหะเพื่อขึ้นรูปตามต้องการ การดัดใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเครื่องประดับ เช่น การดัดลวดทองคำเป็นวงแหวน สร้อย หรือกรอบหุ้มอัญมณี เทคนิคนี้ต้องอาศัยความแม่นยำสูงเพื่อให้ได้รูปร่างที่สมมาตร และป้องกันการแตกร้าวของโลหะ การดัดต้องใช้คีมชนิดพิเศษ เช่น คีมโค้ง คีมปลายแหลม เพื่อควบคุมองศาอย่างละเอียด การดัดลวดทองคำเป็นสายสร้อยหรือขอบของกรองศอเป็นเทคนิคที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น งานดัดยังช่วยให้สามารถทำเครื่องประดับได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องใช้การหล่อทั้งหมด ปัจจุบันการดัดยังคงเป็นเทคนิคสำคัญในการทำเครื่องประดับสั่งทำพิเศษ และในงานอนุรักษ์ศิลปกรรมไทย
ขึ้นรูปจากแผ่น
การขึ้นรูปจากแผ่น (Sheet Forming) คือการนำแผ่นโลหะ เช่น ทองคำหรือเงิน มาตัด ตี เคาะ ดุน และดัดเพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ เทคนิคนี้ใช้สร้างเครื่องประดับขนาดใหญ่ เช่น ศิราภรณ์ กรองศอ หรือสังวาล การขึ้นรูปจากแผ่นต้องมีการคำนวณขนาดล่วงหน้า เพื่อให้ได้สัดส่วนที่แม่นยำ และลดการสูญเสียวัสดุ การขึ้นรูปจากแผ่นช่วยให้ได้ชิ้นงานที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง เทคนิคนี้ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น แท่นตัดโลหะ ค้อนดุน ค้อนเคาะละเอียด ช่างไทยโบราณนิยมขึ้นโครงจากแผ่นก่อนแล้วค่อยดุนหรือฝังพลอยในภายหลัง ข้อดีของการขึ้นรูปจากแผ่นคือความยืดหยุ่นในการออกแบบลวดลายที่ซับซ้อน และความประณีตที่สามารถควบคุมได้ดี
ขึ้นรูปจากลวด
การขึ้นรูปจากลวด (Wire Forming) คือเทคนิคการนำลวดโลหะ เช่น ทองคำ เงิน หรือทองแดง มาดัด ถัก หรือต่อกันเพื่อสร้างเป็นเครื่องประดับ เทคนิคนี้เหมาะสำหรับงานละเอียด เช่น สร้อยข้อมือ ทองกร กุณฑล หรือธำมรงค์ ลวดที่ใช้ต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเหมาะสมกับรูปแบบงาน เช่น ลวดเส้นเล็กสำหรับถักละเอียด ลวดเส้นใหญ่สำหรับโครงสร้างหลัก เทคนิคขึ้นรูปจากลวดสามารถสร้างลวดลายได้หลากหลาย เช่น ลายเกลียว ลายกนก และลายเครือเถา ช่างฝีมือไทยมีความเชี่ยวชาญสูงในการดัดลวดให้แนบสนิท และมีความสมมาตร เทคนิคนี้ยังช่วยประหยัดวัสดุ และสามารถซ่อมแซมได้ง่าย ปัจจุบันการขึ้นรูปจากลวดยังคงเป็นเทคนิคหลักในงานเครื่องประดับทองคำ และในงานหัตถศิลป์ร่วมสมัยของไทย
อ้างอิง
กนกพร ศรีนคร. (2565). การหิ้วห่วงในเครื่องประดับไทยโบราณและการประยุกต์ใช้ในงานร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ชลธิชา วัฒนชัย. (2564). ร้อยห่วงโลหะในเครื่องประดับไทยโบราณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธีรศักดิ์ ธนบุญชัย. (2565). การขึ้นรูปแผ่นโลหะในงานเครื่องประดับไทยโบราณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ปกรณ์ พึ่งเนตร. (2562). เทคนิคการถักลวดโลหะในงานเครื่องประดับไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
พรพิมล วัฒนจินดา. (2563). ศิลปะการดัดลวดในเครื่องประดับไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
ประเสริฐ ทองเจือ. (2561). เทคนิคศิลป์ไทยในเครื่องประดับโบราณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
มนตรี เจริญสุข. (2564). งานดุนโลหะไทย: ศิลปะและเทคนิค. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม.
รวิศรา พงศ์ประยูร. (2565). การขึ้นรูปจากลวดโลหะในงานเครื่องประดับไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วราพร ศิริไพบูลย์. (2564). เทคนิคการเคาะโลหะในศิลปะเครื่องประดับไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อนุชา อินทรกำแหง. (2563). ศิลปะการถักห่วงในเครื่องประดับไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สุคนธ์ ศรีอรุณ. (2563). เทคนิคการทำเครื่องประดับไทยโบราณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.