รัตนโกสินทร์
ศิราภรณ์ของสมัย รัตนโกสินทร์
ศิราภรณ์ เป็นเครื่องประดับศีรษะที่มีบทบาทสำคัญในการแสดงฐานะ ความสง่างาม และอำนาจในราชสำนัก รวมถึงในศิลปกรรมและงานประติมากรรมสมัยรัตนโกสินทร์ โดยรูปแบบของศิราภรณ์ในสมัยนี้ยังคงยึดหลักการออกแบบที่ สมดุลแบบสมมาตร เพื่อสื่อถึงความเป็นระเบียบ ความสง่างาม และความสูงส่งของผู้สวมใส่หรือรูปแบบศิลปกรรมที่ปรากฏ
การแบ่งประเภทของศิราภรณ์สมัยรัตนโกสินทร์
ศิราภรณ์สมัยรัตนโกสินทร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
- ศิราภรณ์ที่ปรากฏบนปฏิมากรรม
- เป็นศิราภรณ์ที่ประดับอยู่บนพระพุทธรูปโลหะ
- ใช้การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร เน้นความวิจิตรบรรจง
- โครงสร้างเป็น ทรงมงกุฎยอดแหลม หรือ มหาพิชัยมงกุฎ
- สื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจสูงสุด
- ศิราภรณ์ที่ปรากฏบนประติมากรรมไม้
- มักเป็นงานไม้แกะสลัก ที่คงความวิจิตรในแบบราชสำนัก
- โครงสร้างยังคงยึด ทรงมงกุฎยอดแหลมหรือมหาพิชัยมงกุฎ เช่นเดียวกับศิราภรณ์บนปฏิมากรรมโลหะ
- ให้ความรู้สึกหรูหรา อ่อนช้อย แต่แข็งแรงตามวัสดุที่ใช้
- ศิราภรณ์ในรูปแบบเครื่องประดับทอง
- เป็นศิราภรณ์ที่สวมใส่จริงในราชสำนัก เช่น ในพระราชพิธีหรือการแต่งกายของชนชั้นสูง
- รูปแบบโดดเด่นคือ พระเกี้ยวทองคำลงยาสี
- เทคนิคการตกแต่ง ที่ใช้ประกอบ:
- ลงยาสี: เพิ่มความงามของสีสันบนทองคำ
- สลัก: แกะลวดลายละเอียดบนตัวเครื่องประดับ
- บุ ดุน: การตกแต่งด้วยการเคาะขึ้นลายจากด้านหลัง
- ฉลุลาย: การเจาะทะลุเป็นลวดลายที่ประณีต


กุณฑลสมัย รัตนโกสินทร์


กุณฑล หรือเครื่องประดับหู เป็นองค์ประกอบสำคัญในการตกแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์ แสดงถึงความวิจิตรบรรจงของงานช่างฝีมือไทยและความงดงามสง่าสมฐานะ โดยเฉพาะในราชสำนักหรือรูปแบบประดับศิลปกรรม
กุณฑลสมัยรัตนโกสินทร์ออกแบบโดยใช้ การจัดองค์ประกอบที่มีความสมดุลแบบสมมาตรทั้ง 2 แบบ เพื่อให้สอดคล้องกับความงดงามที่เป็นแบบแผนของยุคสมัย
รูปแบบของกุณฑล
กุณฑลสมัยนี้มี 2 รูปแบบหลัก ดังนี้:
- กุณฑลรูปดอกไม้ 3 กลีบซ้อนกัน 2 ชั้น
- ออกแบบให้มี ลักษณะเป็นระย้ำ (มีหลายชั้น ซ้อนทับกันอย่างวิจิตร)
- ตัวเรือนประกอบด้วย ดอกไม้ 3 กลีบซ้อนกัน 2 ชั้น แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และความงดงามที่ซับซ้อน
- มี ห้อยประดับตุ้งติ้ง ที่ปลาย เพิ่มความพลิ้วไหวและความอ่อนช้อยให้กับเครื่องประดับยามเคลื่อนไหว
- การตกแต่งในรูปแบบนี้ช่วยขับเน้นความละเอียดประณีตของช่างฝีมือ และเพิ่มความหรูหราให้กับผู้สวมใส่
- กุณฑลรูปดอกมะเขือ 6 กลีบ
- ตัวเรือนมีโครงสร้างเป็น รูปกระหนกเปลว
- กระหนกเปลวเป็นลวดลายไทยที่สื่อถึงเปลวไฟหรือพลังชีวิต สะท้อนถึงความรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวา
- ดอกมะเขือ 6 กลีบ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเจริญเติบโต
- โครงสร้างที่ซับซ้อนของกระหนกเปลวช่วยเพิ่มความวิจิตรแก่เครื่องประดับและสะท้อนรสนิยมชั้นสูง
- ตัวเรือนมีโครงสร้างเป็น รูปกระหนกเปลว
กรรเจียกจรสมัย อยุธยา


กรรเจียกจร เป็นเครื่องประดับหูที่มีความสำคัญทั้งในเชิงศิลปกรรมและวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือเป็นช่วงที่งานช่างฝีมือไทยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เครื่องประดับชนิดนี้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของความงดงามทางการแต่งกาย แต่ยังสื่อถึงความเชื่อ ศรัทธา และศิลปะอันละเอียดอ่อนที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทยอย่างชัดเจน
ลักษณะเด่นของกรรเจียกจรสมัยรัตนโกสินทร์
- โครงสร้างของตัวเรือน
- รูปกระหนกเปลว เป็นโครงสร้างหลักของกรรเจียกจรในสมัยนี้
- กระหนกเปลวเป็นลวดลายไทยที่สื่อถึง เปลวไฟแห่งชีวิต ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นสิริมงคล
- โครงสร้างที่ซับซ้อนและพลิ้วไหวของกระหนกเปลวสะท้อนความละเอียดประณีตของช่างฝีมือไทย
- เส้นสายที่เรียงกันอย่างสมดุล ช่วยขับเน้นความงดงามของผู้สวมใส่และของศิลปกรรมโดยรวม
- รูปกระหนกเปลว เป็นโครงสร้างหลักของกรรเจียกจรในสมัยนี้
กรองศอสมัย รัตนโกสินทร์

กรองศอ เป็นเครื่องประดับที่สวมบริเวณลำคอ มีบทบาทสำคัญในการเสริมความสง่างามและบ่งบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ กรองศอถูกพัฒนาให้มีความวิจิตรบรรจงมากขึ้น ทั้งในด้านรูปแบบการออกแบบ ลวดลายประดับตกแต่ง รวมถึงวัสดุที่ใช้ ประกอบกับการจัดองค์ประกอบแบบสมดุลสมมาตร ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของกรองศอในยุคนี้
ลักษณะเด่นของกรองศอสมัยรัตนโกสินทร์
- การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลสมมาตร (Symmetrical Balance)
- การออกแบบกรองศอเน้นความสมดุลและความเป็นระเบียบ
- ใช้ แกนกลางเป็นจุดแบ่ง ลวดลายทั้งสองฝั่งให้เหมือนกัน ช่วยเสริมความสง่างามและความประณีตของเครื่องประดับ
- ความสมมาตรนี้ไม่เพียงทำให้กรองศอดูงดงาม แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมเรื่องความเป็นระเบียบและความกลมกลืนในสมัยรัตนโกสินทร์
- ลวดลายประดับตกแต่ง
- นิยมตกแต่งด้วย ลายไทยโบราณ ที่แฝงความหมายและความเชื่อของยุคสมัย
- ลวดลายยอดนิยม ได้แก่:
- ลายประจำยาม: สัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและการปกป้อง
- ลายดอกไม้กลม 8 กลีบ: แทนความเจริญรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์ และความโชคดี
- ลายกระจังตาอ้อย: ลวดลายที่สื่อถึงความสมบูรณ์พูนสุข
- ลายไข่ปลาเม็ดประคำ: สัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลและความต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
- รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส: แทนความมั่นคง แข็งแรง
- รูปสามเหลี่ยม: สื่อถึงพลังและความสมดุลของชีวิต
- การประดับอัญมณี
- นิยมประดับด้วยอัญมณีหลากหลาย เช่น:
- เพชร: สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความบริสุทธิ์
- พลอย: เพิ่มสีสันหลากหลาย สะท้อนรสนิยมและความงาม
- มุก: สื่อถึงความบริสุทธิ์และความสง่างาม
- นิยมประดับด้วยอัญมณีหลากหลาย เช่น:
การเลือกใช้อัญมณีช่วยเพิ่มความวิจิตรและความหรูหราให้กับกรองศอ พร้อมทั้งบ่งบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่
สังวาลสมัย รัตนโกสินทร์

สังวาล เป็นเครื่องประดับลำตัวที่มีความสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมใช้ในราชสำนักและพิธีการสำคัญต่าง ๆ เพื่อเสริมความสง่างามของเครื่องแต่งกาย แสดงถึงฐานะและรสนิยมของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะการออกแบบที่วิจิตรบรรจง ใช้การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร เพิ่มความสมดุลและความงดงามให้กับชุดเครื่องประดับอย่างลงตัว
ลักษณะเด่นของสังวาลสมัยรัตนโกสินทร์
- การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)
- โครงสร้างโดยรวมของสังวาลมีความสมดุล ซ้าย-ขวาเหมือนกัน
- เส้นสังวาลทั้งสองเส้นถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ช่วยให้เครื่องประดับดูสง่างามและสงบเสงี่ยมในสไตล์ราชสำนัก
- รูปแบบและโครงสร้างการสวมใส่
- สังวาลออกแบบเป็น แบบสร้อยสังวาล 2 เส้น
- เส้นทั้งสองเป็น เส้นขนานในแนวตั้ง
- วางตำแหน่งตรง กลางช่วงหน้าอก ลำตัว และยาวลงมาถึง ช่วงพระนาภี
- ช่วงปลายของสังวาลจะ แยกพาดโค้งห้อยไปทางด้านข้างทั้งสองฝั่งของลำตัว
- การออกแบบเช่นนี้ช่วยให้ตัวสังวาลดูกระชับกับสรีระ แต่ยังคงความพลิ้วไหว
- สังวาลถูก วางทับด้วยกรองศอและทับทรวง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการตกแต่ง
- เส้นสังวาลที่ห้อยลงมา ทำหน้าที่เสริมกรอบให้กับองค์ประกอบของเครื่องประดับลำตัวโดยรวม
- สร้อยสังวาลห้อยเป็นเส้นโค้ง เสริมความอ่อนช้อยและพลิ้วไหว เพิ่มมิติและความงดงามให้กับผู้สวมใส่
- สังวาลออกแบบเป็น แบบสร้อยสังวาล 2 เส้น
ทับทรวงสมัย รัตนโกสินทร์


ทับทรวง เป็นเครื่องประดับบริเวณช่วงอกที่มีความสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมใช้ทั้งในฐานะเครื่องประดับจริงและเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องทรงสำหรับพิธีการสำคัญ โดยทับทรวงในยุคนี้ออกแบบอย่างประณีต วิจิตรบรรจง และใช้ การจัดองค์ประกอบแบบสมดุลแบบสมมาตร เพื่อสร้างความสง่างามและความสมบูรณ์ของชุดประดับไทย
การแบ่งประเภทของทับทรวงสมัยรัตนโกสินทร์
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้:
- ทับทรวงสำหรับเครื่องทรง
- เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายพิธีการในราชสำนัก
- ออกแบบอย่างประณีต ใช้ตกแต่งร่วมกับเครื่องประดับอื่น ๆ เช่น กรองศอ และสังวาล
- เสริมความสง่างามของชุดทรงเครื่องและสะท้อนถึงฐานะสูงของผู้สวมใส่
- ทับทรวงในรูปแบบเครื่องประดับจริง
- ใช้สวมใส่ในชีวิตจริงของชนชั้นสูงหรือในโอกาสพิเศษ
- แม้เป็นเครื่องประดับจริง แต่ยังคงความประณีตและความวิจิตรในทุกรายละเอียด
- ช่วยเสริมบุคลิกและภาพลักษณ์ของผู้สวมใส่ให้ดูสง่างาม
ลักษณะองค์ประกอบของทับทรวงสมัยรัตนโกสินทร์
- การจัดองค์ประกอบ
- สมดุลแบบสมมาตร ซ้ายขวาเท่ากันทุกส่วน
- ช่วยให้เครื่องประดับดูสง่างาม สอดคล้องกับค่านิยมความเป็นระเบียบของราชสำนักไทย
- วัสดุและการตกแต่ง
- ตัวเรือนทำจากทองคำ
- ทองคำสะท้อนความมั่งคั่งและสถานะสูงของผู้สวมใส่
- มีลักษณะเป็นระย้า ประดับตุ้งติ้ง
- เสริมความพลิ้วไหวและความอ่อนช้อยให้กับเครื่องประดับ
- เมื่อขยับตัวจะเกิดการสั่นไหว เพิ่มชีวิตชีวาให้กับการแต่งกาย
- ตัวเรือนทำจากทองคำ
- โครงสร้างของทับทรวง
- โครงสร้างหลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
- รูปทรงนี้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและความสมดุล
- เส้นสายคมชัดช่วยเพิ่มความสง่างามของเครื่องประดับ
- โครงสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว
- ใช้สำหรับประดับ บริเวณอกบนสังวาล
- ลักษณะรูปว่าวช่วยเสริมความพลิ้วไหวขององค์ประกอบโดยรวมของเครื่องประดับลำตัว
- โครงสร้างหลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
พาหุรัดสมัย รัตนโกสินทร์


พาหุรัด เป็นเครื่องประดับต้นแขนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในราชสำนักและชนชั้นสูง ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงฐานะทางสังคม แต่ยังสะท้อนถึงความวิจิตรของงานฝีมือช่างทองไทยที่มีความละเอียดอ่อนและประณีตยิ่ง
ลักษณะโครงสร้างของพาหุรัดสมัยรัตนโกสินทร์
- โครงสร้างหลักเป็นทรงปลอกมีด
- โครงสร้างโดยรวมของพาหุรัดในสมัยรัตนโกสินทร์ใช้ ทรงปลอกมีด เป็นหลัก
- ทรงปลอกมีดช่วยให้ตัวเครื่องประดับดูแข็งแรง แต่ยังคงความเรียบง่ายและสง่างาม
- เส้นสายของตัวเรือนช่วยขับเน้นความสวยงามของต้นแขนผู้สวมใส่
- รายละเอียดในแต่ละรูปแบบ
- รูปแบบที่ 1:
- ตัวเรือนเป็นทรงปลอกมีดแบน
- ออกแบบเรียบง่าย เน้นความสง่างามและความเป็นระเบียบของโครงสร้าง
- แม้จะเรียบ แต่ยังคงแสดงถึงความพิถีพิถันของช่างทองผ่านความประณีตในการขึ้นรูปและการขัดเงาของตัวเรือน
- รูปแบบที่ 2:
- ประดับลายนูนคล้ายลวดท้องปลิง
- ลวดท้องปลิงเป็นลวดลายไทยที่ได้รับความนิยม สื่อถึงความงดงามที่เป็นธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์
- ต่อโครงสร้างด้วยลายกระหนกเปลวทั้งสองข้าง
- ลายกระหนกเปลวเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองและเปลวไฟแห่งชีวิต
- การประดับเช่นนี้ช่วยเพิ่มความวิจิตรและความโดดเด่นให้กับตัวเครื่องประดับ
- จัดองค์ประกอบแบบอสมมาตร
- สร้างความพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวาให้กับเครื่องประดับ แตกต่างจากรูปแบบที่ 1 ซึ่งเน้นความสมดุลเรียบง่าย
- ประดับลายนูนคล้ายลวดท้องปลิง
- รูปแบบที่ 1:
ทองกรสมัย รัตนโกสินทร์


ทองกร หรือเครื่องประดับข้อมือ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและราชสำนัก ทองกรไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงฐานะ ความมั่งคั่ง และความประณีตของงานช่างทองไทยในยุคนี้อย่างชัดเจน
ลักษณะเด่นของทองกรสมัยรัตนโกสินทร์
- การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)
- ลักษณะเด่นของทองกรในสมัยนี้คือ การจัดวางลวดลายให้สมดุลกันทั้งสองข้าง
- การออกแบบแบบสมมาตรนี้ช่วยเพิ่มความสง่างาม ความเป็นระเบียบ และสะท้อนรสนิยมของสังคมชนชั้นสูงในสมัยนั้น
- ความหลากหลายของรูปแบบ
- แม้จะคงเอกลักษณ์ของศิลปะไทย แต่ทองกรในสมัยรัตนโกสินทร์มี รูปแบบที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความนิยมและความต้องการของผู้สวมใส่
- ประเภทของทองกรที่นิยม ได้แก่:
- กำไลข้อมือ: ลักษณะเป็นวงแข็ง สวมที่ข้อมือ
- สร้อยข้อมือหรือทองปลายแขน: ลักษณะเป็นสายโซ่หรือสายถัก อ่อนตัวกว่ากำไลข้อมือ มีความพลิ้วไหวเมื่อขยับแขน
- การตกแต่งด้วยชาร์มและองค์ประกอบเสริม
- นิยมตกแต่งเพิ่มเติมด้วย อัญมณี เช่น เพชร พลอย หรือมุก
- ห่วงตุ้งติ้ง: ห้อยประดับให้เกิดความเคลื่อนไหว เพิ่มความอ่อนช้อย
- ลูกประคำ: สื่อถึงความเป็นสิริมงคลและต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
ธำมรงค์สมัย รัตนโกสินทร์
ธำมรงค์ หรือแหวน เป็นหนึ่งในเครื่องประดับสำคัญที่สะท้อนรสนิยม ความเชื่อ และฐานะของผู้สวมใส่ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยช่างฝีมือในยุคนี้ได้สร้างสรรค์ธำมรงค์ให้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการออกแบบโครงสร้าง การประดับตกแต่ง และเทคนิคการผลิตที่ประณีต ทำให้ธำมรงค์แต่ละวงมีความงดงามและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลักษณะการจัดองค์ประกอบของธำมรงค์
- การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)
- เน้นความสมดุลของรูปทรงและลวดลายทั้งสองด้านของแหวน
- สะท้อนถึงความเป็นระเบียบ ความสง่างาม และความสงบเรียบร้อย
- เหมาะสำหรับแหวนที่ใช้ในพิธีการหรือโอกาสสำคัญ
- การจัดองค์ประกอบแบบอสมมาตร (Asymmetrical Balance)
- แสดงถึง ความคิดสร้างสรรค์ และ อิสระทางศิลปะ ของช่างฝีมือไทย
- การออกแบบในลักษณะนี้ช่วยเพิ่มความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะให้กับธำมรงค์
- ทำให้แหวนดูพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา และสะท้อนความเป็นศิลปะร่วมสมัยในยุครัตนโกสินทร์
รูปแบบของธำมรงค์สมัยรัตนโกสินทร์
- แบบทรงมณฑป
- โครงสร้างคล้ายยอดมณฑปไทย
- มักใช้ใน พิธีการสำคัญ เช่น งานราชพิธี หรือการแต่งกายเต็มยศ
- แสดงถึงความสูงส่ง ความศักดิ์สิทธิ์ และความเป็นมงคล
- แบบปลอกมีด
- รูปแบบเรียบง่าย ใช้โครงสร้าง ทรงปลอกมีด
- เหมาะสำหรับการสวมใส่ใน ชีวิตประจำวัน
- เน้นความเรียบง่ายแต่คงความสง่างาม และความคลาสสิกของเครื่องประดับไทย
ทองพระบาทสมัย รัตนโกสินทร์


ทองพระบาท เป็นหนึ่งในเครื่องราชูปโภคที่สำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธีหรือเป็นเครื่องประดับสำคัญในราชสำนัก โดยทองพระบาทมิใช่เพียงเครื่องประดับเพื่อความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงคุณค่าทั้งในเชิงพระราชอำนาจและศิลปวัฒนธรรมของชาติ
ลักษณะเด่นของทองพระบาทสมัยรัตนโกสินทร์
- วัสดุหลักและการประดับตกแต่ง
- ทำจาก ทองคำบริสุทธิ์ เป็นหลัก
- ประดับด้วย อัญมณีล้ำค่า เพื่อเพิ่มความหรูหรา เช่น:
- เพชร: ความบริสุทธิ์และความสูงส่ง
- พลอย: เพิ่มสีสันและความสดใส
- มุก: ความบริสุทธิ์และความงามที่นุ่มนวล
- อัญมณีแต่ละชนิดไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงาม แต่ยังแฝงความหมายเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับความมั่งคั่งและสิริมงคล
- ลวดลายและการตกแต่ง
- มี การแกะสลักลวดลายไทยโบราณ อย่างวิจิตรบรรจง
- ลวดลายที่นิยม เช่น:
- ลายก้านขด: สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและความต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
- ลายประจำยาม: สัญลักษณ์ของการปกป้องและความมั่นคง
- ลายกระหนกเปลว: เปลวไฟแห่งชีวิต ความรุ่งโรจน์และพลังอำนาจ
- การตกแต่งเหล่านี้สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนของช่างฝีมือไทย และรสนิยมของราชสำนัก