สุโขทัย

ศิราภรณ์ของสมัย สุโขทัย

ศิราภรณ์ในสมัยสุโขทัยมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แสดงออกถึงศิลปะและคติความเชื่อในยุคนั้น โดยรูปแบบของศิราภรณ์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ
   1. ศิราภรณ์แบบมงกุฎ
   2. ศิราภรณ์แบบกระบังหน้า
      ทั้งสองประเภทนี้จะใช้หลักการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับ “ความสมดุลแบบสมมาตร” (Symmetrical Balance) ซึ่งหมายถึงการจัดวางองค์ประกอบให้เกิดความกลมกลืนกันทั้งซ้ายและขวา บนและล่าง เพื่อให้ดูสง่างาม สมบูรณ์ และมีความเป็นระเบียบในเชิงสุนทรียภาพและสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์
รายละเอียดของ ศิราภรณ์แบบมงกุฎ
      มงกุฎในสมัยสุโขทัยไม่ได้มีรูปแบบเดียว แต่แบ่งออกเป็น 4 แบบหลัก ซึ่งแต่ละแบบมีการพัฒนาและเพิ่มความวิจิตรบรรจงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ดังนี้
           • แบบที่ 1 : มงกุฎธรรมดา เป็นรูปทรงพื้นฐานของมงกุฎ ไม่มีการประดับตกแต่งเพิ่มเติมด้วยแผ่นสามเหลี่ยม ถือเป็นรูปแบบเรียบง่ายที่สุด แต่ยังคงความสง่างามในตัวเอง
           • แบบที่ 2 : มงกุฎที่มีแผ่นสามเหลี่ยมติดเหนือมงกุฎ 4 ทิศ เป็นเนื้อเดียวกันในแบบนี้ จะมีการเพิ่มแผ่นสามเหลี่ยมจำนวน 4 แผ่น ติดอยู่รอบทิศของมงกุฎ โดยแผ่นเหล่านี้จะหล่อเป็นชิ้นเดียวกับตัวมงกุฎ (เป็นเนื้อเดียวกัน) ทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้น มีมิติและแสดงถึงพลังอำนาจ
           • แบบที่ 3 : มงกุฎที่มีแผ่นสามเหลี่ยมเป็นเนื้อเดียวกันแต่ต่างระนาบกันเหนือมงกุฎ 4 ทิศ แผ่นสามเหลี่ยมในแบบนี้ แม้จะเป็นเนื้อเดียวกับตัวมงกุฎ แต่จะวางในระนาบที่แตกต่างกัน เช่น บางแผ่นอาจยื่นออกมา บางแผ่นอาจเอียงหรือซ้อนกัน ทำให้เกิดมิติที่หลากหลายยิ่งขึ้น ดูพลิ้วไหวและวิจิตรตระการตามากกว่าแบบที่ 2
           • แบบที่ 4 : มงกุฎที่รวมแผ่นสามเหลี่ยมทั้ง 2 แบบ คือ แบบเชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแบบแนวระนาบและแบบต่างระนาบกัน ถือเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนและงดงามที่สุด รวมเอาความโดดเด่นของทั้งแบบที่ 2 และ 3 ไว้ด้วยกัน กล่าวคือ มีแผ่นสามเหลี่ยมที่ติดแบบแนวระนาบ (เรียบเสมอกัน) และแบบต่างระนาบ (ยื่นหรือซ้อนกัน) อยู่ในมงกุฎเดียว ทำให้ดูอลังการ หรูหรา และแสดงถึงความสำคัญของผู้สวมใส่อย่างชัดเจน

กรรเจียกจรสมัย สุโขทัย

กรรเจียกจร เป็นหนึ่งในเครื่องประดับศีรษะที่สำคัญของศิลปะสมัยสุโขทัย ใช้ประดับส่วนบนของศีรษะเทวรูปหรือบุคคลสำคัญในศิลปกรรมสมัยนั้น
ลักษณะเด่นของกรรเจียกจรสุโขทัย
     • การจัดองค์ประกอบแบบอสมมาตร แตกต่างจากเครื่องประดับอื่น ๆ ที่มักนิยมความสมมาตร กรรเจียกจรในสมัยสุโขทัยใช้แนวทาง “อสมมาตร” ในการออกแบบ ซึ่งสร้างความพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวาให้กับรูปลักษณ์โดยรวม
     • โครงสร้างเป็นสี่เหลี่ยมรูปว่าว โครงสร้างของกรรเจียกจรจะเป็นสี่เหลี่ยมรูปว่าว มีความยาวเรียว ขยายกว้างออกเล็กน้อยจากฐานไปยังปลายยอด คล้ายกับโครงสร้างของว่าวไทยในปัจจุบัน
     • การวางแนวเฉียงออกค้านข้างทั้งซ้ายและขวา ส่วนประกอบของกรรเจียกจรจะไม่ตั้งตรงขึ้นไปอย่างสมมาตร แต่จะเฉียงออกทั้งสองด้าน เสมือนรูปใบไม้ที่โบกสะบัดตามลม เพิ่มความอ่อนช้อยและความเป็นธรรมชาติให้กับรูปแบบศิลปกรรม
     • ลักษณะคล้ายรูปใบไม้  โดยรวมแล้ว รูปทรงของกรรเจียกจรจะคล้ายใบไม้ที่มีเส้นโค้งพลิ้ว ดูเบาและพริ้วไหว แสดงถึงการผสมผสานระหว่างความงดงามและความอ่อนโยน

กรองศอสมัย สุโขทัย

กรองศอ เป็นเครื่องประดับประเภทสร้อยคอที่สำคัญในศิลปะสมัยสุโขทัย ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้เพื่อความงดงาม แต่ยังแสดงถึงฐานะ บทบาท และความศักดิ์สิทธิ์ของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏอยู่บนเทวรูปหรือบุคคลสำคัญ
การแบ่งประเภทของกรองศอ
กรองศอสมัยสุโขทัยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. กรองศอบุรุษ
   ใช้สำหรับบุรุษหรือเทวรูปฝ่ายชาย
     – รูปแบบมักจะหนักแน่น แข็งแรง แต่ยังคงความประณีต
     – การจัดองค์ประกอบโดยรวมเน้น “ความสมดุลแบบสมมาตร” คือ ซ้าย-ขวา ขนาดและรูปทรงจะเท่ากัน เพื่อสื่อถึงความมั่นคงและศักดิ์ศรีของบุรุษ
2. กรองศอสตรี
ใช้สำหรับสตรีหรือเทวรูปพระเทวี
     – รูปแบบจะอ่อนช้อยกว่า มีความพลิ้วไหวและละเอียดประณีต
     – แม้จะใช้การจัดองค์ประกอบที่สมดุลแบบสมมาตรเช่นเดียวกับกรองศอบุรุษ แต่จะเพิ่มความพลิ้วไหวด้วยเส้นสายที่อ่อนโยนมากกว่า

สังวาลสมัย สุโขทัย

สังวาล เป็นเครื่องประดับลำตัวที่สำคัญของสมัยสุโขทัย สวมพาดเฉวียงบ่าเพื่อเสริมความงดงามของเรือนร่างและแสดงถึงฐานะของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงหรือบุคคลสำคัญในพิธีการ
สังวาลสมัยสุโขทัยมีลักษณะโดดเด่นทั้งในด้านโครงสร้างและรูปแบบการสวมใส่ โดยสามารถจำแนกได้เป็น 3 ลักษณะหลัก ดังนี้
     1. แบบเส้นเดียวเฉวี่ยงบ่าเบื้องใดเบื้องหนึ่ง
        • ใช้สายสังวาลเส้นเดียว พาดเฉียงจากบ่าด้านหนึ่งไปยังลำตัวฝั่งตรงข้าม
        • เป็นรูปแบบที่เรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างาม
        • เน้นความพลิ้วไหวของเส้นสายของตัวสังวาล ให้ภาพลักษณ์ของความอ่อนช้อย สง่างาม และเสริมความเด่นของช่วงลำตัว
      2. แบบ 2 เส้นไขว้กันเป็นรูปกากบาท
           แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบย่อย:
              • แบบเส้นตัดกันบริเวณกลางลำตัว
                  o สังวาลสองเส้นไขว้กันในระดับกลางลำตัว สร้างจุดศูนย์กลางของสายตาและเพิ่มความโดดเด่น
              • แบบกากบาทช่วงสะดือ
                   o การไขว้ของสังวาลจะอยู่ต่ำลงมาบริเวณช่วงสะดือ เพิ่มความยาวของสายสังวาล ช่วยเน้นความสง่างามของลำตัว ลักษณะการไขว้เป็นรูปกากบาทช่วยเพิ่มความอลังการของเครื่องประดับ และสร้างความสมดุลขององค์ประกอบให้ดูงดงามในเชิงศิลป์
       3. แบบสร้อยสังวาลพาดเฉวียงบ่ากับใต้รักแร้เชื่อมติดกับกรองศอ
            • สังวาลในรูปแบบนี้จะเชื่อมต่อเป็นชุดเดียวกับกรองศอ
            • พาดจากบ่าลงสู่ใต้รักแร้แล้วเชื่อมเข้ากับกรองศอที่คอ เป็นการออกแบบที่ต่อเนื่องเป็นเอกภาพ
            • ช่วยสร้างความกลมกลืนระหว่างเครื่องประดับช่วงคอกับลำตัว และเพิ่มความวิจิตรให้กับเรือนร่าง

ทับทรวงสมัย สุโขทัย

ทับทรวง เป็นเครื่องประดับที่สวมกลางหน้าอก มีบทบาทสำคัญในการเสริมความงดงามของเครื่องแต่งกายสมัยสุโขทัย รวมถึงสื่อความหมายถึงพลัง อำนาจ และฐานะของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในบริบทของการแสดงออกถึงค่านิยมด้านความงามที่เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่า

ลักษณะองค์ประกอบของทับทรวงสมัยสุโขทัย

  1. การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Composition)
    • ทับทรวงสมัยสุโขทัยออกแบบโดยเน้นความสมดุลขององค์ประกอบทั้งสองด้าน ทำให้เกิดความกลมกลืนและเป็นระเบียบ
    • การจัดสมมาตรช่วยสร้างความสง่างามที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง
  2. โครงสร้างหลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
    • รูปทรงเรขาคณิตนี้เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยในงานศิลปะสุโขทัย
    • รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนมีเส้นเฉียงที่มาบรรจบกัน ทำให้เกิดความรู้สึกของความแข็งแกร่งและความมั่นคง
    • สะท้อนถึงความนิยมในสมัยสุโขทัยที่เน้นการออกแบบที่มีความเรียบง่าย แต่ยังคงความวิจิตรสง่างาม
  3. วัสดุที่ใช้ทำทับทรวง
    • โดยทั่วไปนิยมใช้ ทองคำ ซึ่งเป็นโลหะมีค่าที่แสดงถึงฐานะ ความมั่งคั่ง และความศักดิ์สิทธิ์
    • ทองคำยังสะท้อนถึงความนิยมในความเรียบโก้และความคงทนของเครื่องประดับสมัยสุโขทัย
  4. ลักษณะคล้ายหัวลูกศร
    • นอกจากรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ทับทรวงยังมีลักษณะคล้ายหัวลูกศร
    • รูปทรงนี้สื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ถึง ความแข็งแกร่ง อำนาจ และความมุ่งมั่น
    • เสริมความสง่างามให้กับเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะเมื่อทับทรวงวางอยู่บริเวณกลางอก เป็นจุดที่สายตาจะมองเห็นเด่นชัด

พาหุรัดสมัย สุโขทัย

พาหุรัด หรือเครื่องประดับต้นแขน เป็นเครื่องประดับสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของสมัยสุโขทัย ที่ใช้เสริมความงดงามและสง่างามของเรือนร่าง สะท้อนถึงรสนิยมของผู้สวมใส่ในยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงและบุคคลในพิธีการ

ลักษณะองค์ประกอบของพาหุรัดสมัยสุโขทัย

  1. การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Composition)
    • พาหุรัดสมัยสุโขทัยออกแบบโดยยึดหลักความสมดุลที่เท่ากันทั้งสองข้างของตัวเรือน
    • ลักษณะสมมาตรนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นระเบียบ เรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างามตามแบบฉบับศิลปะสุโขทัย
  2. การแบ่งประเภทของตัวเรือนพาหุรัด

พาหุรัดสมัยสุโขทัยมี 2 แบบหลัก คือ:

  • แบบเส้นลวดกลม
    • ตัวเรือนเป็นเส้นลวดกลมเรียบเนียนตลอดทั้งวง
    • รูปลักษณ์เรียบง่าย สื่อถึงความงดงามที่ไม่ฟุ่มเฟือย
    • ความกลมของเส้นช่วยเพิ่มความอ่อนช้อยและกลมกลืนกับสรีระต้นแขน
  • แบบแผ่น
    • ตัวเรือนเป็นแผ่นแบน มีความกว้างตลอดทั้งวง
    • ให้ความรู้สึกหนักแน่นและสง่างามยิ่งขึ้น
    • การใช้แผ่นช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับพาหุรัดเมื่อสวมใส่
  1. ลักษณะพิเศษของตัวเรือน
    • พาหุรัดในสมัยสุโขทัยมีลักษณะโครงสร้างเป็น ทรงกระบอกคล้ายแหวนทรงปลอกมีดขนาดใหญ่
    • มีลักษณะเด่นคือ ความกว้างและความหนาเท่ากันตลอดทั้งวง ไม่เรียวหรือบานออก
    • ทำให้ได้รูปทรงที่มั่นคงและดูสง่างามตลอดตัวเครื่องประดับ สะท้อนความเรียบโก้และสมดุลอย่างแท้จริงตามค่านิยมของศิลปะสุโขทัย

ทองกรสมัย สุโขทัย

ทองกร หรือกำไลข้อมือ เป็นเครื่องประดับสำคัญของสมัยสุโขทัย ซึ่งไม่เพียงเป็นเครื่องประดับเพื่อความงดงาม แต่ยังสะท้อนถึงฐานะและความวิจิตรของงานช่างในยุคนั้น ทองกรสมัยสุโขทัยมีลักษณะเด่นทั้งด้านการออกแบบและโครงสร้างตัวเรือนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ลักษณะองค์ประกอบของทองกรสมัยสุโขทัย

  1. การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Composition)
    • ทองกรสมัยสุโขทัยใช้การออกแบบที่เน้นความสมดุลทั้งสองข้างของตัวเรือน
    • ความสมมาตรนี้สร้างความสง่างามที่เป็นระเบียบ เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความสง่างามตามค่านิยมของศิลปะสุโขทัย
  2. ลักษณะโครงสร้างหลักของตัวเรือนทองกร

ตัวเรือนของทองกรสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะหลัก คือ:

  • แบบโครงเส้นลวด (Wire Structure)
    • โครงสร้างของทองกรเป็นเส้นลวดที่ขึ้นรูปเป็นวงกำไล
    • มีรูปแบบย่อย ได้แก่:
      • ลวดท้องปลิง: เป็นเส้นลวดที่มีการทำลวดลายคล้ายลอนท้องปลิง สร้างความรู้สึกเคลื่อนไหวและวิจิตรในตัวเอง
      • ท้องปลิงแบบสันมีด: เส้นลวดที่เพิ่มรายละเอียดสันคมคล้ายใบมีด ให้ความรู้สึกแข็งแรง คมชัด
      • เส้นกลม: เส้นลวดเรียบกลม ดูเรียบง่ายแต่สง่างาม
    • ลักษณะเส้นลวดทุกแบบยังคงไว้ซึ่งความประณีต และความงดงามตามเอกลักษณ์สุโขทัย
  • ทรงปลอกมีดแบบแผ่นแบน (Flat Band Structure)
    • ตัวเรือนเป็นแผ่นแบน ทรงปลอกมีด ซึ่งหมายถึงกำไลที่มีลักษณะแบนเรียบ ไม่เป็นเส้นกลม
    • การใช้แผ่นแบนสร้างความรู้สึกมั่นคง หนักแน่น แต่ไม่ขาดความสง่างาม

ธำมรงค์สมัย สุโขทัย

ธำมรงค์หรือแหวน เป็นเครื่องประดับสำคัญของสมัยสุโขทัย ที่ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องประดับสำหรับความงาม แต่ยังสะท้อนถึงสถานะ ความศรัทธา และทักษะงานช่างศิลป์ของยุคนั้นได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในแง่ของเทคนิคการผลิตและการตกแต่งที่ประณีตละเอียดอ่อน

เอกลักษณ์ของธำมงค์สมัยสุโขทัย

  1. การเชื่อมประกอบชิ้นงานโลหะด้วยทองคำ
    • จุดเด่นสำคัญของธำมงค์สุโขทัย คือ การนำ ทองคำ มาประกอบขึ้นรูปเป็นตัวเรือนแหวน
    • การเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแหวนเป็นไปอย่างประณีต แม่นยำ แสดงถึงทักษะชั้นสูงของช่างทองในสมัยสุโขทัย
    • ทองคำไม่เพียงแต่เป็นโลหะมีค่า แต่ยังสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความบริสุทธิ์ และความมั่งคั่ง
  2. การใช้เทคนิคการตกแต่งชั้นสูง
    • การบุ (Embossing): การตอกขึ้นรูปเพื่อให้ผิวตัวเรือนแหวนมีความนูน
    • การดุน (Repoussé): เทคนิคการเคาะหรือกดจากด้านหลังของแผ่นโลหะให้เกิดรูปทรงนูนเด่น
    • การจลุ (Chasing): การตอกเส้นลวดลายละเอียดบนพื้นผิวโลหะจากด้านหน้า
    • การแกะสลัก (Engraving): การใช้เครื่องมือแกะสลักลวดลายลงไปบนตัวเรือนแหวน เพิ่มความลึกและมิติให้กับชิ้นงาน

เทคนิคเหล่านี้ช่วยสร้างความประณีตและเพิ่มมิติความงามของธำมงค์แต่ละวงได้อย่างโดดเด่น

  1. ลวดลายบนตัวเรือน
    • ลวดลายที่สลักหรือประดับบนธำมรงค์มักเป็น ลวดลายไทยโบราณ ซึ่งสะท้อนถึงคติความเชื่อและรสนิยมของสมัยสุโขทัย
    • ลายยอดนิยม เช่น:
      • ลายก้านขด: ลายเส้นโค้งวนให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อย
      • ลายดอกไม้: สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความงดงามตามธรรมชาติ
      • ลายเทพพนม: สะท้อนอิทธิพลทางศาสนาและความเชื่อในพุทธศาสนาและพราหมณ์

ทองพระบาทสมัย สุโขทัย

ทองพระบาท เป็นเครื่องประดับที่ใช้สำหรับสวมบริเวณข้อเท้า มีบทบาทสำคัญในการเสริมความสง่างามของเครื่องแต่งกาย และแสดงถึงสถานะของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูงในสมัยสุโขทัย ซึ่งเครื่องประดับทุกชิ้นจะถูกออกแบบอย่างประณีตงดงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะที่สะท้อนรสนิยมของยุคนั้น

ลักษณะองค์ประกอบของทองพระบาทสมัยสุโขทัย

  1. การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตร (Symmetrical Composition)
    • การออกแบบทองพระบาทเน้นความสมดุลทั้งสองฝั่งของตัวเรือน
    • การจัดองค์ประกอบแบบสมมาตรนี้ทำให้เครื่องประดับดูเป็นระเบียบ เรียบง่าย แต่สง่างาม
    • เสริมสร้างภาพลักษณ์ของความมั่นคงและสมบูรณ์แบบ
  2. ลักษณะตัวเรือนเป็นแบบปลอกมีด
    • ตัวเรือนของทองพระบาทใช้ ทรงปลอกมีด เป็นหลัก
    • ลักษณะนี้หมายถึงรูปทรงที่เป็นแผ่นแบน กว้างและหนาเท่ากันตลอดทั้งชิ้น
    • สะท้อนถึงความแข็งแรงและความทนทาน รวมถึงความสง่างามแบบเรียบโก้
  3. โครงสร้างเส้นลวด 3 เส้น
    • โครงสร้างของทองพระบาทประกอบด้วยเส้นลวดจำนวน 3 เส้น ที่เรียงกันอย่างมีระเบียบ ดังนี้:
      • เส้นกลาง: เป็นลวดท้องปลิง ทรงสันมีด
        • เส้นนี้เป็นแกนหลักของตัวเรือน มีลักษณะเด่นคือสันคมคล้ายใบมีด สื่อถึงความแข็งแรงและความเฉียบคม
      • เส้นขนาบ (บนและล่าง): เป็นลวดท้องปลิงธรรมดา จำนวน 2 เส้น
        • เส้นบนและล่างทำหน้าที่ขนาบเส้นกลาง เพิ่มความสมดุลให้กับองค์ประกอบโดยรวม
        • เสริมความประณีตและมิติลึกให้กับตัวเรือนของทองพระบาท
  1. ความสมดุลขององค์ประกอบ
    • การจัดเรียงเส้นลวดในลักษณะนี้ทำให้ทองพระบาทมีความสมมาตรอย่างเด่นชัด
    • โครงสร้าง 3 เส้น (1 เส้นกลาง + 2 เส้นขนาบ) สร้างความสมดุลทั้งด้านรูปทรงและน้ำหนักของตัวเครื่องประดับ
    • ให้ความรู้สึกมั่นคง หนักแน่น แต่ไม่ขาดความอ่อนช้อยในรายละเอียด